Add parallel Print Page Options

พระเจ้าส่งพระบุตรมา

(มธ. 21:33-46; ลก. 20:9-19)

12 พระเยซูเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้ฟังว่า “มีชายคนหนึ่งทำสวนองุ่นไว้ เขาล้อมรั้วไว้รอบ ขุดบ่อย่ำองุ่น และสร้างหอคอย เขาให้ชาวสวนมาเช่าสวนองุ่นนั้น ส่วนตัวเขาเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลองุ่นเขาก็ส่งทาสคนหนึ่งมารับส่วนแบ่งจากผลองุ่นนั้น แต่พวกคนเช่ากลับจับทาสคนนั้นทุบตีและไล่กลับไปมือเปล่า เจ้าของสวนส่งทาสคนใหม่มาอีก แต่คราวนี้พวกคนเช่าก็ได้รุมกันทุบหัวเขาและแกล้งเขาจนอับอาย เจ้าของสวนส่งอีกคนหนึ่งมาแต่ก็ถูกฆ่า แล้วเขาก็ยังส่งคนมาอีกเรื่อยๆ คนที่เขาส่งมาก็ถูกตีบ้าง ถูกฆ่าบ้าง

สุดท้ายเจ้าของสวนเหลือคนเพียงคนเดียว คือลูกชายสุดที่รักของเขา เขาจึงส่งลูกชายมา เขาคิดว่า ‘พวกนั้นจะต้องเคารพยำเกรงลูกชายของเราแน่ๆ’

แต่พวกคนเช่ากลับพูดกันว่า ‘นี่ไง ผู้รับมรดก มาเร็วเข้า ฆ่ามันเลย สวนนี้จะได้ตกเป็นของเรา’ พวกคนเช่าจึงจับเขาไปฆ่า แล้วโยนศพทิ้งออกไปนอกสวนองุ่น

พวกคุณคิดว่าเจ้าของสวนจะทำยังไง เขาจะมาฆ่าพวกชาวสวนนั้น แล้วเอาสวนองุ่นนั้นไปให้ชาวสวนคนอื่นเช่าต่อ 10 พวกคุณไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้หรือ ที่ว่า

‘หินก้อนนี้ที่ช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว กลับกลายเป็นหินก้อนที่สำคัญที่สุด
11 องค์เจ้าชีวิตทำให้เป็นอย่างนั้น
สำหรับเราแล้วนี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ’”[a]

12 เมื่อพวกผู้นำชาวยิวรู้ตัวว่าพระองค์กำลังเปรียบพวกเขาว่าเป็นคนเช่าสวนพวกนั้น พวกเขาจึงหาทางที่จะจับพระองค์ แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวฝูงชน พวกเขาจึงพากันจากไป

คนมาถามเรื่องการเสียภาษี

(มธ. 22:15-22; ลก. 20:20-26)

13 พวกผู้นำยิวส่งพวกฟาริสี และพวกที่สนับสนุนกษัตริย์เฮโรด[b] มาเพื่อจับผิดคำพูดพระเยซู 14 พวกเขาถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เรารู้ว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ไม่เห็นแก่หน้าใคร และสอนความจริงในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำ ช่วยบอกหน่อยสิครับว่ามันถูกต้องตามกฎหรือเปล่าที่จะเสียภาษีให้กับซีซาร์”

15 พระองค์รู้ว่าพวกเขามาหลอกถามก็เลยพูดว่า “พวกคุณมาหลอกจับผิดเราทำไม ส่งเหรียญเงินมาอันหนึ่งสิ” 16 พวกเขาจึงส่งเหรียญให้พระองค์ แล้วพระองค์ถามพวกเขาว่า “นี่เป็นรูปและชื่อใคร” พวกเขาตอบว่า “ซีซาร์”

17 พระเยซูเลยตอบว่า “ของๆซีซาร์ก็ให้กับซีซาร์ และของๆพระเจ้าก็ให้กับพระเจ้า” พวกเขาก็ทึ่งในคำตอบของพระองค์

พวกสะดูสีมาถามเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย

(มธ. 22:23-33; ลก. 20:27-40)

18 พวกสะดูสีมาหาพระองค์ (พวกนี้ไม่เชื่อเรื่องการฟื้นขึ้นจากความตาย) พวกเขาถามว่า 19 “อาจารย์ครับ โมเสสได้เขียนสั่งพวกเราว่า ถ้าชายคนไหนตายและทิ้งภรรยาไว้โดยยังไม่มีลูก ก็ให้น้องชายของคนตายนั้นแต่งงานกับหญิงม่ายคนนี้ จะได้มีลูกไว้สืบสกุลของพี่ชายของเขา 20 ครั้งหนึ่งมีพี่น้องอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงานแล้วตายไปแต่ยังไม่มีลูก 21 น้องคนที่สองก็มาแต่งงานกับแม่ม่ายของพี่ชาย และเขาก็ตายไปโดยยังไม่มีลูก น้องคนที่สามก็มาทำเหมือนกัน 22 ทำอย่างนี้จนครบทั้งเจ็ดคนโดยไม่มีใครมีลูกเลย แล้วสุดท้ายหญิงคนนี้ก็ตาย 23 ในวันที่ทุกคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ผู้หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนนั้นก็เคยเป็นสามีของเธอ”

24 พระเยซูว่า “พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว นี่เพราะพวกคุณไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และไม่รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้า 25 เมื่อคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น จะไม่มีการแต่งงานหรือยกให้เป็นผัวเมียกันอีกแล้ว แต่พวกเขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ 26 พวกคุณไม่เคยอ่านในหนังสือของโมเสสหรือ ในตอนที่พุ่มไม้ติดไฟแต่ไม่ไหม้[c] พระเจ้าพูดกับโมเสสว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[d] 27 พระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนมีชีวิต พวกคุณเข้าใจเรื่องนี้ผิดหมดเลย”

กฎข้อสำคัญที่สุด

(มธ. 22:34-40; ลก. 10:25-28)

28 มีครูสอนกฎปฏิบัติคนหนึ่งที่ยืนฟังพวกเขาถามตอบกันอยู่ที่นั่น เขาเห็นว่าพระเยซูตอบได้ดีมากทีเดียว จึงเข้าไปถามพระองค์ว่า “กฎทั้งหมด ข้อไหนสำคัญที่สุด”

29 พระเยซูตอบว่า “ข้อที่สำคัญที่สุดคือ ‘พวกอิสราเอลฟังไว้ให้ดี องค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเราเป็นองค์เจ้าชีวิตแต่เพียงผู้เดียว 30 ให้รักองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้าอย่างสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังของเจ้า’[e] 31 ข้อที่สำคัญรองลงมาคือ ‘ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง’[f] ไม่มีกฎข้อไหนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าสองข้อนี้อีกแล้ว”

32 ครูสอนกฎปฏิบัติคนนี้ก็พูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์พูดถูกต้องเลยที่ว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว ไม่มีพระอะไรอีกแล้วนอกจากพระองค์เท่านั้น 33 และการรักพระองค์สุดใจ สุดความคิด สุดกำลัง และการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง สำคัญยิ่งกว่าการนำเครื่องเผาบูชาและเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆมาถวายตามกฎเสียอีก”

34 เมื่อพระเยซูเห็นเขาตอบได้อย่างเฉลียวฉลาด พระองค์ก็พูดว่า “คุณอยู่ไม่ไกลจากอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว” หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์อีกเลย

พระเยซูถามเรื่องพระคริสต์

(มธ. 22:41-46; ลก. 20:41-44)

35 ระหว่างที่พระเยซูกำลังสอนอยู่ในวิหารนั้น พระองค์ได้ถามว่า “เป็นไปได้อย่างไร ที่พวกครูสอนกฎปฏิบัติบอกว่าพระคริสต์สืบเชื้อสายมาจากดาวิด 36 ในเมื่อดาวิดเองได้พูดตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจว่า

‘พระเจ้าพูดกับองค์เจ้าชีวิตของผมผู้เป็นพระคริสต์ว่า
นั่งลงทางขวามือของเรา
    จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านถูกเหยียบอยู่ใต้เท้าของท่าน’[g]

37 แม้แต่ดาวิดเองยังเรียกพระคริสต์ว่า ‘องค์เจ้าชีวิต’ เลย แล้วพระคริสต์จะเป็นลูกของดาวิดได้อย่างไร” มีคนมากมายตั้งอกตั้งใจฟังพระองค์สอน

พระเยซูเตือนให้ระวังผู้นำศาสนาที่ไม่ดี

(มธ. 23:1-36; ลก. 11:37-52; 20:45-47)

38 พระองค์สอนว่า “ระวังพวกครูสอนกฎปฏิบัติให้ดี พวกนี้ชอบใส่เสื้อคลุมยาวๆเดินไปมาให้คนคำนับตามท้องตลาด 39 พวกนี้ชอบนั่งในที่สำคัญที่สุดในที่ประชุม และชอบนั่งหัวโต๊ะในงานเลี้ยงต่างๆ 40 พวกนี้โกงเอาบ้านของพวกแม่ม่ายไป และแกล้งทำเป็นอธิษฐานเสียยืดยาวเพื่ออวดคน คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษหนักกว่าคนอื่นที่ไม่ได้ทำอย่างนั้น”

เงินถวายของหญิงม่าย

(ลก. 21:1-4)

41 เมื่อพระเยซูนั่งอยู่หน้ากล่องรับเงินในวิหารนั้น พระองค์นั่งดูคนใส่เงินในกล่องกัน คนรวยๆก็ใส่เงินเข้าไปมาก 42 มีหญิงม่ายยากจนคนหนึ่ง ได้ใส่เหรียญทองแดงเล็กๆสองเหรียญ[h] ลงไป

43 พระเยซูจึงเรียกพวกศิษย์เข้ามาและบอกว่า “เราจะบอกให้รู้ว่าหญิงม่ายจนๆคนนี้ได้ใส่เงินเข้าไปในกล่องรับเงินนั้นมากกว่าทุกๆคนที่เอาเงินมาใส่ 44 เพราะคนอื่นๆเอาเงินที่เหลือกินเหลือใช้มาให้ แต่หญิงม่ายจนๆคนนี้เอาเงินเลี้ยงชีพทั้งหมดของเธอมาให้”

Footnotes

  1. 12:10-11 อ้างมาจากหนังสือ สดุดี 118:22-23
  2. 12:13 พวกที่สนับสนุนกษัตริย์เฮโรด เป็นกลุ่มนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่สนับสนุนกษัตริย์เฮโรด
  3. 12:26 พุ่มไม้ติดไฟแต่ไม่ไหม้ อ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ อพยพ 3:1-12
  4. 12:26 อ้างมาจากหนังสืออพยพ 3:6 สามคนนี้เป็นบรรพบุรุษที่สำคัญมากของชนชาติอิสราเอลในสมัยพระคัมภีร์เดิม ตอนที่พระเจ้าพูดกับโมเสสนี้ สามคนนี้ตายไปตั้งนานแล้ว แสดงว่ามีการฟื้นขึ้นจากความตาย
  5. 12:30 อ้างจากหนังสือ เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-5
  6. 12:31 อ้างจากหนังสือ เลวีนิติ 19:18
  7. 12:36 อ้างมาจากหนังสือ สดุดี 110:1
  8. 12:42 เหรียญทองแดงเล็กๆสองเหรียญ ในภาษากรีก ใช้คำว่า “เล็บตรอน” หนึ่งเล็บตรอนมีค่าประมาณ 0.01 เดนาริอัน หนึ่งเดนาริอันมีค่าเท่ากับค่าแรงคนงานหนึ่งวัน

อุปมาเรื่องผู้เช่าสวนองุ่น

12 พระองค์กล่าวกับพวกเขาเป็นอุปมาว่า “ชายคนหนึ่งปลูกสวนองุ่นไว้ ซึ่งมีกำแพงที่สร้างล้อมไว้โดยรอบ แล้วก็ขุดบ่อสำหรับเครื่องสกัดเหล้าองุ่น เขาสร้างหอคอยไว้และให้พวกชาวสวนเช่า แล้วก็เดินทางไปต่างประเทศ เมื่อถึงเวลาเก็บผล เขาใช้คนรับใช้คนหนึ่งไปหาพวกคนเช่าสวน เพื่อรับส่วนปันผลจากคนเช่าสวนบ้าง พวกคนเช่าสวนจับตัวเขาไว้ ทุบตี แล้วก็ไล่เขากลับไปมือเปล่า ชายเจ้าของสวนจึงส่งคนรับใช้อีกคนไป พวกเขาก็ทำร้ายที่ศีรษะและลบหลู่เขา เขาใช้อีกคนไปซึ่งพวกเขาก็ฆ่าเสีย คนอื่นๆ อีกจำนวนมากก็เช่นกัน บ้างก็ถูกเฆี่ยน บ้างก็ถูกฆ่า

ชายเจ้าของสวนมีเหลืออีกคนที่จะส่งไปคือลูกชายที่รัก เขาส่งไปหาเป็นคนสุดท้ายโดยคิดว่า ‘พวกเขาจะนับถือลูกของเราคนนั้น’ แต่พวกคนเช่าสวนพูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท มาช่วยกันฆ่าเขาเถิด แล้วมรดกจะได้ตกเป็นของพวกเรา’ เขาทั้งหลายจึงจับตัวลูกคนนั้นฆ่าเสีย แล้วโยนตัวออกไปจากสวนองุ่น เจ้าของสวนองุ่นจะทำอย่างไร เขาจะมาฆ่าพวกคนเช่าสวน และยกสวนองุ่นให้แก่คนอื่นๆ ไป 10 พวกท่านไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้หรือว่า

‘ศิลาที่พวกช่างก่อสร้างทิ้ง
    ได้กลายเป็นศิลามุมเอก
11 พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำการนี้
    และเป็นสิ่งวิเศษยิ่งในสายตาของเรา’”[a]

12 แล้วพวกเขาก็พยายามที่จะจับกุมพระเยซู แต่ยังกลัวฝูงชนเพราะเขาทราบว่า พระองค์กล่าวเป็นอุปมาเพื่อกระทบพวกเขาเอง เขาจึงเดินจากพระองค์ไป

คำถามเรื่องการเสียภาษี

13 ครั้นแล้วพวกเขาจึงให้บรรดาฟาริสีและบางคนในพรรคของเฮโรดไปหาพระเยซู เพื่อจะจับผิดในสิ่งที่พระองค์กล่าว 14 พวกเขาจึงมาพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ พวกเราทราบว่า ท่านพูดความจริงและไม่เขวไปตามมนุษย์ เพราะท่านไม่เอาใจผู้ใด แต่สั่งสอนในวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง ถูกต้องตามกฎหรือไม่ในการเสียภาษีให้แก่ซีซาร์ 15 พวกเราควรจ่ายหรือไม่” แต่พระเยซูทราบว่าพวกเขาเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก พระองค์กล่าวว่า “ทำไมจึงทดสอบเรา เอาเงินเหรียญเดนาริอันมาให้เราดูสิ” 16 แล้วพวกเขาก็เอามาให้ พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” เขาทั้งหลายตอบว่า “ของซีซาร์” 17 พระเยซูกล่าวว่า “สิ่งที่เป็นของซีซาร์ก็จงให้แก่ซีซาร์ และสิ่งที่เป็นของพระเจ้าก็จงให้แด่พระเจ้า” แล้วพวกเขาก็อัศจรรย์ใจในพระองค์

ความสงสัยเรื่องวันที่ฟื้นคืนชีวิต

18 พวกสะดูสี[b] (ซึ่งเชื่อว่าไม่มีการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย) ได้มาหาพระองค์และถามว่า 19 “อาจารย์ ตามที่โมเสสได้เขียนไว้ให้พวกเราว่า ถ้าชายใดตายไป แต่ภรรยายังอยู่โดยที่ไม่มีบุตรด้วยกัน น้องชายของคนตายควรรับหญิงม่ายไว้ เพื่อมีบุตรสืบตระกูลให้พี่ชายของเขา 20 มีพี่น้องที่เป็นชายอยู่ 7 คน คนแรกมีภรรยาและตายโดยไม่มีบุตร 21 คนที่สองสมรสกับนางแล้วก็ตายโดยไม่มีบุตรด้วย คนที่สามก็เช่นกัน 22 ดังนั้นทั้ง 7 คนก็ไม่ได้มีบุตรสืบตระกูลเลย ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายไปด้วย 23 ในวันที่ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย เมื่อเขาเหล่านั้นฟื้นคืนชีวิต แล้วนางจะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้ง 7 คนได้นางเป็นภรรยา”

24 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “เหตุที่พวกท่านผิด ก็เป็นเพราะว่าท่านไม่รู้พระคัมภีร์และอานุภาพของพระเจ้าใช่ไหม 25 ด้วยว่าเมื่อผู้คนฟื้นคืนชีวิตจากความตาย พวกเขาจะไม่มีการสมรสหรือการยกให้เป็นสามีภรรยากัน แต่จะเป็นเหมือนกับพวกทูตสวรรค์ในฟ้าสวรรค์ 26 แต่เรื่องจริงที่ว่า คนตายฟื้นคืนชีวิตอีก ท่านไม่เคยอ่านในฉบับของโมเสสหรือ ในตอนที่เกี่ยวกับพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ พระเจ้ากล่าวกับเขาว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม[c] พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[d] 27 พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น พวกท่านเข้าใจผิดเป็นอย่างมากทีเดียว”

พระบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่ที่สุด

28 คนหนึ่งในพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติมาและได้ยินการโต้เถียงกัน และทราบว่าพระเยซูได้ตอบพวกเขาได้ดีจึงถามพระองค์ว่า “พระบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุด”

29 พระเยซูกล่าวว่า “ข้อที่สำคัญที่สุดคือ ‘จงฟังเถิด อิสราเอลเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราเป็นพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว 30 และจงรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจ สุดดวงจิต สุดความคิด และสุดกำลังของท่าน’[e] 31 ข้อที่สองคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าให้เหมือนรักตนเอง’[f] ไม่มีพระบัญญัติข้ออื่นใดที่ยิ่งใหญ่กว่า 2 ข้อนี้”

32 อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติพูดกับพระองค์ว่า “ถูกต้องแล้ว อาจารย์ ท่านได้กล่าวโดยแท้จริงว่ามีเพียงพระเจ้าผู้เดียว และนอกจากพระองค์แล้วไม่มีผู้ใดอีก 33 และการที่รักพระองค์อย่างสุดดวงใจ สุดความคิด และสุดกำลัง และจงรักเพื่อนบ้านของท่านให้เหมือนรักตนเอง สำคัญยิ่งกว่าสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องสักการะทั้งปวง” 34 เมื่อพระเยซูเห็นว่าเขาได้ตอบด้วยการไตร่ตรองจากสติปัญญา พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “ท่านอยู่ใกล้อาณาจักรของพระเจ้าแล้ว” หลังจากนั้นไม่มีใครกล้าซักถามสิ่งใดกับพระองค์อีก

คำถามเรื่องบุตรของดาวิด

35 ขณะที่พระเยซูสั่งสอนในบริเวณพระวิหาร พระองค์กล่าวว่า “พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติพูดได้อย่างไรว่า พระคริสต์เป็นบุตรของดาวิด 36 พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจให้ดาวิดเองพูดว่า

‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
    “จงนั่งทางด้านขวาของเรา
จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้า
    อยู่ใต้เท้าของเจ้า”’[g]

37 ดาวิดเองเรียกพระองค์ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า’ ฉะนั้นพระองค์เป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร” แล้วมหาชนก็ฟังพระองค์ด้วยความยินดี

38 พระองค์สั่งสอนว่า “จงระวังพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติที่ชอบสวมเสื้อคลุมเดินไปมา ชอบให้คนแสดงความเคารพในย่านตลาด 39 มักเลือกที่นั่งสำหรับคนสำคัญที่สุดในศาลาที่ประชุม และที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยง 40 พวกเขาริบบ้านเรือนของพวกหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาวเพื่อให้คนเห็น คนพวกนี้จะถูกกล่าวโทษอย่างหนัก”

หญิงม่ายผู้ยากไร้ถวายเงิน

41 ครั้นแล้วพระเยซูก็นั่งลงตรงข้ามกับตู้ถวายเงิน พระองค์สังเกตดูว่าผู้คนถวายเงินในตู้อย่างไร คนมั่งมีหลายคนถวายเงินจำนวนมหาศาล 42 หญิงม่ายผู้ยากไร้คนหนึ่งมาถวายเหรียญทองแดง 2 เหรียญซึ่งมีค่าประมาณ 1 สลึง 43 พระองค์เรียกเหล่าสาวกของพระองค์มาและกล่าวกับเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า หญิงม่ายผู้ยากไร้คนนี้ถวายเงินมากกว่าคนเหล่านั้นที่มอบให้ในตู้ถวายเงินเสียอีก 44 เพราะเขาทุกคนได้ให้จากเงินเหลือใช้ของเขา แต่ถึงแม้ว่านางจะขัดสน นางก็ยังถวายทุกสตางค์ที่เก็บไว้สำหรับเลี้ยงตนเอง”

Footnotes

  1. 12:11 สดุดี 118:22,23
  2. 12:18 สะดูสี เป็นกลุ่มผู้นำศาสนาของชาวยิว สมาชิกส่วนใหญ่เป็นปุโรหิตซึ่งมั่งมี เป็นพวกที่ไม่ยอมเชื่อสิ่งอัศจรรย์
  3. 12:26 อับราฮัม เป็นบิดาต้นตระกูลของชนชาติยิว
  4. 12:26 อพยพ 3:6
  5. 12:30 เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4,5
  6. 12:31 เลวีนิติ 19:18
  7. 12:36 สดุดี 110:1