Add parallel Print Page Options

ลาซารัสตาย

11 มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสล้มป่วย เขามาจากหมู่บ้านเบธานี ที่มารีย์และมารธาพี่สาวสองคนของเขาอาศัยอยู่ (มารีย์คนนี้ เป็นผู้หญิงที่ต่อมาได้เทน้ำมันหอมลงบนเท้าของพระเยซู แล้วเอาผมของเธอเช็ดเท้าให้พระองค์ ลาซารัสคนที่ป่วยนี้เป็นน้องชายของเธอ) พี่สาวทั้งสองก็เลยส่งคนไปบอกพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ คนที่อาจารย์รักกำลังล้มป่วยอยู่”

เมื่อพระเยซูได้ยินอย่างนั้น พระองค์ก็บอกว่า “ในที่สุดแล้ว ผลจากการป่วยนี้จะไม่ใช่ความตาย แต่จะทำให้คนเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและของพระบุตรของพระเจ้าด้วย” พระเยซูรักมารธา รวมทั้งน้องสาวของเธอและลาซารัส แต่เมื่อพระองค์ได้ยินว่าลาซารัสกำลังล้มป่วยอยู่ พระองค์ก็ยังคงอยู่ที่เดิมต่อไปอีกสองวัน หลังจากนั้นพระองค์จึงบอกพวกศิษย์ว่า “กลับไปแคว้นยูเดียกันเถอะ”

พวกศิษย์พูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกยิวที่นั่นพยายามเอาหินขว้างอาจารย์ให้ตาย อาจารย์ยังจะกลับไปอีกหรือ”

พระเยซูตอบว่า “กลางวันมีสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ ถ้าใครเดินตอนกลางวัน ก็จะไม่สะดุดล้ม เพราะมีแสงสว่างจากโลกนี้ 10 แต่ถ้าใครเดินในตอนกลางคืนก็จะสะดุดล้มเพราะไม่มีแสงสว่าง”

11 หลังจากที่พระองค์พูดอย่างนั้นแล้วก็บอกพวกศิษย์ว่า “ลาซารัสเพื่อนของพวกเรากำลังหลับอยู่ แต่เราจะไปที่นั่นเพื่อปลุกเขาขึ้นมา”

12 พวกศิษย์บอกว่า “อาจารย์ ถ้าเขาหลับอยู่ก็คงจะดีขึ้น”

13 พระเยซูหมายความว่าลาซารัสตายแล้ว แต่พวกศิษย์คิดว่าพระองค์หมายถึงการนอนหลับตามปกติ 14 พระเยซูจึงต้องบอกพวกเขาตรงๆว่า “ลาซารัสตายแล้ว 15 และเพราะเห็นแก่พวกคุณ เราถึงดีใจที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น เพื่อคุณจะได้ไว้วางใจเรา พวกเราไปหาเขากันเถอะ”

16 โธมัส (ที่ใครๆเรียกว่า “แฝด”) จึงพูดกับศิษย์คนอื่นๆว่า “ไปพวกเรา ไปตายด้วยกันกับอาจารย์”

พระเยซูอยู่ในเบธานี

17 เมื่อพระเยซูไปถึงเบธานี ก็พบว่าลาซารัสถูกฝังในอุโมงค์ได้สี่วันแล้ว 18 หมู่บ้านเบธานีอยู่ห่างจากเมืองเยรูซาเล็มแค่สามกิโลเมตร 19 พวกยิวหลายคนก็มาปลอบใจมารธาและมารีย์ที่ต้องสูญเสียน้องชายไป

20 เมื่อมารธาได้ยินว่าพระเยซูมา เธอออกไปหาพระองค์โดยที่มารีย์ยังอยู่ที่บ้าน 21 มารธาพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์คะ ถ้าอาจารย์อยู่ที่นี่ น้องชายของพวกเราก็คงไม่ตาย 22 แต่ถึงเดี๋ยวนี้แล้วดิฉันก็ยังรู้ว่าพระเจ้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์ขอ”

23 พระเยซูพูดว่า “น้องชายของคุณจะฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีก”

24 มารธาพูดว่า “ดิฉันรู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาใหม่และมีชีวิตอีกในวันสุดท้ายที่ทุกคนจะฟื้นขึ้นมา”

25 พระเยซูพูดอีกว่า “เราเป็นคนที่ทำให้คนทั้งหลายฟื้นขึ้นมาใหม่และให้ชีวิตกับเขา ทุกคนที่ไว้วางใจเราแม้จะตายไปแล้วก็จะกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีก 26 และทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่และไว้วางใจในเราก็จะไม่มีวันตาย มารธาเชื่ออย่างนั้นไหม”

27 มารธาตอบพระองค์ว่า “ค่ะท่าน ดิฉันเชื่อว่าท่านคือพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า ท่านคือผู้นั้นที่ผู้คนกำลังคอยกันว่าจะเข้ามาในโลกนี้”

พระเยซูร้องไห้

28 หลังจากที่มารธาพูดอย่างนี้แล้ว เธอก็กลับไปบอกมารีย์น้องสาวของเธอเป็นการส่วนตัว “อาจารย์มาแล้ว และถามหาน้องอยู่” 29 เมื่อมารีย์ได้ยินว่า พระเยซูมา เธอก็รีบไปหาพระองค์ 30 (พระเยซูยังไม่ได้เข้ามาในหมู่บ้าน แต่ยังคงอยู่ที่เดิมที่มารธาไปหา) 31 เมื่อพวกยิวที่ปลอบใจมารีย์อยู่ในบ้านเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นออกไป พวกเขาก็ตามเธอไป เพราะคิดว่าเธอจะไปร้องไห้ที่หลุมฝังศพ 32 เมื่อมารีย์ไปถึงก็เห็นพระเยซู เธอก้มลงกราบที่เท้าของพระองค์ และคร่ำครวญว่า “อาจารย์คะ ถ้าอาจารย์อยู่ที่นี่ น้องชายของดิฉันก็คงไม่ตาย”

33 เมื่อพระเยซูเห็นมารีย์ร้องไห้ และพวกยิวที่ตามเธอมาร้องไห้ด้วย พระองค์ก็รู้สึกโกรธ[a] และเป็นทุกข์ 34 พระองค์ถามว่า “พวกคุณเอาศพเขาไปฝังไว้ที่ไหน” พวกเขาตอบว่า “ตามมาดูสิ อาจารย์”

35 พระเยซูร้องไห้

36 พวกยิวจึงพูดว่า “ดูสิ เขารักลาซารัสมากขนาดไหน”

37 แต่บางคนก็พูดว่า “ผู้ชายคนนี้ทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ แล้วทำไมเขาจะช่วยให้ลาซารัสรอดตาย ไม่ได้ล่ะ”

พระเยซูทำให้ลาซารัสฟื้นขึ้น

38 พระเยซูรู้สึกโกรธอีก และเมื่อมาถึงอุโมงค์ฝังศพของลาซารัสก็มีหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์อยู่ 39 พระองค์จึงสั่งว่า “เลื่อนหินออกไปสิ”

มารธาพี่สาวของลาซารัสจึงบอกพระองค์ว่า “อาจารย์คะ คงเหม็นแย่แล้วล่ะ เพราะเขาตายมาสี่วันแล้ว” 40 พระเยซูบอกเธอว่า “คุณลืมแล้วหรือที่เราบอกว่า ถ้าคุณไว้วางใจ คุณจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”

41 พวกเขาจึงเลื่อนหินออก แล้วพระเยซูก็แหงนหน้าขึ้นพูดว่า “พระบิดา ลูกขอขอบคุณพระองค์ที่ฟังลูก 42 ลูกรู้ว่าพระองค์ฟังลูกอยู่เสมอ แต่ที่ลูกพูดก็เพื่อว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา” 43 หลังจากพระเยซูพูดจบ พระองค์ร้องตะโกนเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมา” 44 ลาซารัสที่ตายไปแล้วก็เดินออกมา โดยที่ยังมีผ้าลินินพันมือพันเท้า ที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่รอบ

พระเยซูสั่งพวกเขาว่า “เอาผ้าพวกนั้นออกให้เขาหน่อย เขาจะได้เป็นอิสระ”

พวกยิววางแผนฆ่าพระเยซู

(มธ. 26:1-5; มก. 14:1-2; ลก. 22:1-2)

45 เมื่อพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์ได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทำ ก็พากันไว้วางใจพระองค์ 46 แต่มีบางคนในพวกนั้นไปเล่าเรื่องนี้ให้พวกฟาริสีฟัง 47 พวกหัวหน้านักบวช และพวกฟาริสีจึงเรียกประชุมสมาชิกสภาแซนฮีดริน แล้วพูดกันว่า “พวกเราจะทำยังไงดี ชายคนนี้ได้ทำสิ่งอัศจรรย์หลายอย่าง 48 ถ้าเราขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ประชาชนจะแห่กันไปเชื่อเขาหมด และพวกโรมันก็จะมาทำลายวิหารและชาติของเรา”

49 แต่มีชายคนหนึ่งในหมู่พวกเขาชื่อ คายาฟาส ซึ่งเป็นหัวหน้าสูงสุดของนักบวชในปีนั้น พูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณนี่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลย 50 แถมยังไม่เข้าใจอีกว่า การที่จะให้ชายคนหนึ่งตายแทนประชาชน ก็ยังดีกว่าให้คนทั้งชาติต้องมาถูกทำลาย” 51 คายาฟาสไม่ได้คิดที่จะพูดขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าทำให้เขาพูดอย่างนั้น เพราะเขาเป็นหัวหน้าสูงสุดของนักบวชในปีนั้น พระเจ้าก็เลยทำให้คายาฟาสเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าว่า พระเยซูกำลังจะตายแทนชนชาติยิว 52 แล้วพระเยซูไม่ได้ตายแทนชนชาติยิวเท่านั้น แต่พระองค์ตายเพื่อรวบรวมลูกๆของพระเจ้าทุกคนที่กระจัดกระจายไปทั่วโลก ให้มาอยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว

53 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็หาทางที่จะฆ่าพระเยซู 54 พระเยซูจึงไม่ไปไหนมาไหนอย่างเปิดเผยในหมู่คนยิวอีก พระองค์ออกจากหมู่บ้านเบธานีไปที่หมู่บ้านเอฟราอิม ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง แล้วพระองค์กับพวกศิษย์ก็พักอยู่ที่นั่น

55 เมื่อใกล้ถึงเทศกาลวันปลดปล่อย มีคนมากมายจากชนบทหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเยรูซาเล็มก่อนหน้าเทศกาลไม่กี่วันเพื่อชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับเทศกาลนั้น 56 ผู้คนได้เที่ยวมองหาพระเยซู และเมื่อพวกเขาอยู่ในบริเวณวิหาร ก็ถามกันว่า “เขาจะมางานนี้หรือเปล่านะ” 57 พวกหัวหน้านักบวชและพวกฟาริสีสั่งผู้คนว่าถ้าใครรู้ว่าพระเยซูอยู่ไหนก็ให้มาบอกเพื่อว่าพวกเขาจะได้ไปจับพระองค์

Footnotes

  1. 11:33 พระองค์ก็รู้สึกโกรธ นักวิชาการบางคนคิดว่าพระองค์โกรธที่ความตายครอบครองมนุษย์ไว้เพราะมนุษย์ทำบาป หรืออาจจะเป็นเพราะเห็นว่ามารีย์และพวกเพื่อนๆไม่เชื่อว่าพระองค์สามารถทำให้คนตายฟื้นได้

ลาซารัสฟื้นจากความตาย

11 มีชายที่กำลังป่วยคนหนึ่งชื่อลาซารัสจากหมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มารีย์และมาร์ธาผู้เป็นพี่สาวอาศัยอยู่ ลาซารัสผู้ที่ป่วยเป็นน้องชายของมารีย์ที่ชโลมพระเยซูเจ้าด้วยน้ำมันหอม และเช็ดเท้าของพระองค์ด้วยผมของเธอ พี่สาวทั้งสองส่งคนไปพบพระเยซูเพื่อบอกว่า “พระองค์ท่าน ดูเถิด คนที่พระองค์รักกำลังป่วยอยู่”

เมื่อพระเยซูได้ยินดังนั้น พระองค์กล่าวว่า “การป่วยไข้ครั้งนี้ไม่ถึงแก่ความตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อพระบารมีของพระเจ้า เพื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าจะได้รับพระบารมีเพราะการป่วยครั้งนี้”

พระเยซูรักมาร์ธาและน้องสาวของเธอรวมทั้งลาซารัส เมื่อพระองค์ได้ยินว่าลาซารัสป่วย พระองค์จึงยืดเวลาอยู่ที่นั่นต่ออีก 2 วัน หลังจากนั้นพระองค์ได้กล่าวกับบรรดาสาวกว่า “ให้เรากลับเข้าไปที่แคว้นยูเดียกันอีกครั้งเถิด” บรรดาสาวกพูดกับพระองค์ว่า “รับบี เมื่อไม่นานมานี้ชาวยิวได้พยายามจะเอาหินขว้างพระองค์ แล้วพระองค์ยังจะกลับไปที่นั่นอีกหรือ” พระเยซูตอบว่า “วันหนึ่งมี 12 ชั่วโมงที่สว่างมิใช่หรือ ผู้ใดเดินในตอนกลางวันก็จะไม่สะดุด เพราะว่าเขามองเห็นความสว่างของโลกนี้ 10 แต่ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางคืนเขาจะสะดุด เพราะว่าไม่มีความสว่างอยู่ในตัวเขา” 11 จากนั้นพระองค์ได้กล่าวกับคนเหล่านั้นต่อไปอีกว่า “ลาซารัสเพื่อนของพวกเราได้นอนหลับไป แต่เราจะไปเพื่อปลุกให้เขาตื่น” 12 บรรดาสาวกพูดว่า “พระองค์ท่าน ถ้าเขานอนหลับไป เขาจะหายดีขึ้น” 13 แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์กล่าวถึงการนอนหลับพักผ่อน ในขณะที่พระองค์หมายถึงความตายของเขา 14 พระเยซูจึงกล่าวกับพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว 15 เราดีใจที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่น เพราะเห็นแก่เจ้า และเพื่อเจ้าจะได้เชื่อ เราไปหาเขากันเถิด” 16 โธมัสที่คนเรียกกันว่าแฝดพูดกับพวกเพื่อนสาวกว่า “พวกเราไปด้วยกันเถิด เราจะได้ตายไปกับพระองค์”

17 เมื่อพระเยซูมาถึง ก็พบว่าลาซารัสอยู่ในถ้ำเก็บศพได้ 4 วันแล้ว 18 หมู่บ้านเบธานีอยู่ห่างจากเมืองเยรูซาเล็มประมาณ 3 กิโลเมตร 19 ชาวยิวจำนวนมากได้มาหามาร์ธาและมารีย์เพื่อปลอบโยนเรื่องน้องชายของเขา 20 เมื่อมาร์ธาได้ยินว่าพระเยซูกำลังมาก็ออกไปพบพระองค์ แต่มารีย์ยังนั่งอยู่ในบ้าน 21 มาร์ธาพูดกับพระเยซูว่า “พระองค์ท่าน ถ้าพระองค์ได้อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพเจ้าก็จะไม่ตาย 22 แม้เวลานี้ข้าพเจ้าทราบว่าสิ่งใดที่พระองค์ขอจากพระเจ้า พระเจ้าก็จะให้แก่พระองค์” 23 พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “น้องชายของเจ้าจะฟื้นคืนชีวิตอีก” 24 มาร์ธาพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าเขาจะฟื้นคืนชีวิตอีกในวันสุดท้ายที่เป็นวันแห่งการฟื้นคืนชีวิต” 25 พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “เราคือผู้ที่ทำให้คนตายฟื้นคืนชีวิต และเราให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราซึ่งถึงแม้จะตายไปก็ยังจะดำรงชีวิตอยู่ 26 ทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม” 27 มาร์ธาพูดว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาในโลก”

พระเยซูร้องไห้

28 เมื่อเธอพูดเช่นนี้แล้วก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาวของเธอ และบอกเธอเป็นการส่วนตัวว่า “อาจารย์อยู่ที่นี่และกำลังตามหาตัวเธออยู่” 29 เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นไปหาพระองค์ 30 ขณะนั้นพระเยซูยังไม่เข้ามาในหมู่บ้านแต่ยังอยู่ที่ที่มาร์ธาพบพระองค์ 31 ชาวยิวที่อยู่กับเธอในบ้านกำลังปลอบโยนเธอ เมื่อเห็นว่ามารีย์รีบลุกขึ้นออกไปจึงตามเธอไป เพราะคิดว่าเธอกำลังจะไปร้องไห้ที่ถ้ำเก็บศพ

32 มารีย์มายังที่ที่พระเยซูอยู่ เมื่อเธอเห็นพระองค์แล้วก็ทรุดตัวลงหมอบแทบเท้า และพูดว่า “พระองค์ท่าน ถ้าพระองค์ได้อยู่ที่นี่น้องชายของข้าพเจ้าก็จะไม่ตาย” 33 เมื่อพระเยซูเห็นเธอร้องไห้อยู่และชาวยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์เป็นทุกข์และสะเทือนใจมาก 34 จึงกล่าวว่า “เจ้าเอาตัวเขาไปไว้ที่ไหน” คนเหล่านั้นพูดว่า “พระองค์ท่าน โปรดมาดูเถิด” 35 พระเยซูร้องไห้ 36 ชาวยิวจึงพากันพูดว่า “ดูเถิดว่าพระองค์รักเขาเพียงไร” 37 แต่บางคนพูดว่า “ชายผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ แล้วจะกันไม่ให้คนนี้ตายไม่ได้หรือ”

38 พระเยซูยิ่งรู้สึกสะเทือนใจขึ้นอีก พระองค์ไปยังที่เก็บศพ ซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินพิงปิดทางเข้าอยู่ 39 พระเยซูกล่าวว่า “จงเลื่อนหินออกเสีย” มาร์ธาพี่สาวของคนตายจึงพูดว่า “พระองค์ท่าน เขาตายไปได้ 4 วันแล้ว ป่านนี้คงจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว” 40 พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าก็จะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” 41 เขาเหล่านั้นจึงเลื่อนหินออก พระเยซูแหงนหน้าขึ้นพลางกล่าวว่า “พระบิดา ข้าพเจ้าขอบคุณพระองค์ที่ฟังข้าพเจ้า 42 และข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ฟังข้าพเจ้าเสมอ แต่เป็นเพราะผู้คนที่กำลังยืนอยู่รอบตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวเช่นนี้เพื่อว่าพวกเขาจะได้เชื่อว่า พระองค์ได้ส่งข้าพเจ้ามา” 43 เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนั้นแล้ว จึงร้องขึ้นเสียงดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย ออกมาเถิด” 44 คนที่ตายไปแล้วก็ออกมา ทั้งมือและเท้ามีริ้วผ้าป่านพันไว้ ที่หน้าก็มีผ้าห่อหุ้มไว้ด้วย พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “จงแก้ริ้วผ้าที่พันออกเสียและปล่อยให้เขาไป”

แผนการลับจับกุมพระเยซู

45 ชาวยิวจำนวนมากที่มาหามารีย์เห็นการกระทำของพระองค์ก็เชื่อในพระองค์ 46 แต่ชาวยิวบางคนได้กลับไปหาพวกฟาริสีเพื่อบอกถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเยซูได้กระทำ 47 ดังนั้นพวกมหาปุโรหิตและฟาริสีจึงเรียกประชุมศาสนสภา[a] และกล่าวว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกัน ชายผู้นี้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์มากมาย 48 ถ้าพวกเราปล่อยให้เขาดำเนินการต่อไปเช่นนี้ ทุกคนก็จะเชื่อเขา และพวกชาวโรมันจะมายึดเอาบ้านช่องและประเทศชาติของเราไป” 49 คายาฟาสซึ่งเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตในเวลานั้นพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านไม่รู้อะไรเสียเลย 50 และไม่ได้ระลึกถึงประโยชน์ของตนว่า ให้คนหนึ่งตายแทนคนทั้งปวง ย่อมดีกว่ายอมให้ประเทศชาติพินาศไป” 51 เขาไม่ได้พูดเพราะเจตนาของเขาเอง แต่ในปีนั้นเขาเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตและได้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า พระเยซูกำลังจะสิ้นชีวิตเพื่อประเทศชาตินั้น 52 และไม่ใช่เพื่อประเทศชาติแต่เพียงเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าที่กระจัดกระจายไปต่างแดนให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย 53 ตั้งแต่วันนั้นมาคนเหล่านั้นก็ร่วมกันวางแผนเพื่อจะฆ่าพระองค์

54 ดังนั้นพระเยซูจึงไม่แสดงตนอยู่ร่วมกับพวกชาวยิวอย่างเปิดเผย แต่ออกไปยังเมืองเอฟราอิมซึ่งเป็นดินแดนอยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร พระองค์อยู่ที่นั่นกับบรรดาสาวก

55 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิว จึงมีคนจำนวนมากเดินทางมาจากแว่นแคว้นนอกเมือง ไปยังเมืองเยรูซาเล็มก่อนงานเทศกาลเพื่อชำระตน 56 คนเหล่านั้นพยายามตามหาพระเยซู ขณะที่ยืนอยู่ในบริเวณพระวิหารก็พูดโต้ตอบกันว่า “ท่านคิดว่าพระองค์จะไม่มาในงานเทศกาลเลยหรือ” 57 พวกมหาปุโรหิตและฟาริสีออกคำสั่งว่า ถ้าผู้ใดทราบว่าพระองค์อยู่ที่ไหนก็จะต้องรายงานให้ทราบ เพื่อพวกเขาจะได้จับกุมพระองค์ไว้

Footnotes

  1. 11:47 ศาสนสภา สภานี้เป็นศาลสูงสุดของชาวยิว มีสมาชิก 70 คนซึ่งประกอบด้วยปุโรหิต อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติ ฟาริสี และสะดูสี