พระดำรัสเกี่ยวกับอัมโมน

49 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับชาวอัมโมนความว่า

“อิสราเอลไม่มีบุตรชายหรือ?
นางไม่มีทายาทหรือ?
ก็แล้วเหตุใดพระโมเลค[a]จึงเข้ายึดครองกาด?
เหตุใดชนชาติของเขาจึงเข้ามาอาศัยในเมืองต่างๆ ของกาด?
แต่วันเวลานั้นจะมาถึง”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เมื่อเราจะโห่ร้องออกศึก
สู้กับรับบาห์ของชาวอัมโมน
มันจะกลายเป็นซากปรักหักพัง
และหมู่บ้านต่างๆ โดยรอบจะถูกเผา
แล้วอิสราเอลจะขับไล่
ชนชาติที่ได้ขับไล่ตนออกมา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
“เฮชโบนเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะอัยถูกทำลายแล้ว!
ชาวรับบาห์เอ๋ย ร้องออกมาเถิด
จงสวมเสื้อผ้ากระสอบและร่ำไห้เถิด
และวิ่งพล่านไปมาภายในกำแพง
เพราะพระโมเลคจะถูกเนรเทศ
ไปพร้อมกับบรรดาปุโรหิตและเหล่าขุนนางของตน
เหตุใดเจ้าจึงโอ้อวดถึงบรรดาหุบเขาของเจ้า
โอ้อวดว่าบรรดาหุบเขาของเจ้าอุดมสมบูรณ์นัก?
ธิดาผู้ไม่ซื่อสัตย์เอ๋ย
เจ้าไว้วางใจในทรัพย์สมบัติของเจ้าและคุยโอ่ว่า
‘ใครจะมาโจมตีเราได้?’
เราจะนำความสยดสยอง
จากประเทศเพื่อนบ้านทั้งปวงมายังเจ้า”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า
“พวกเจ้าทุกคนจะถูกขับไล่ออกไป
และจะไม่มีใครรวบรวมบรรดาผู้ลี้ภัยได้

“แต่ภายหลังเราจะให้ชาวอัมโมนกลับสู่สภาพดี”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

พระดำรัสเกี่ยวกับเอโดม(A)

พระดำรัสของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

เกี่ยวกับเอโดมความว่า

“ในเทมานไม่มีสติปัญญาอีกแล้วหรือ?
คำปรึกษาหารือสูญสิ้นไปจากคนชาญฉลาดแล้วหรือ?
สติปัญญาของเขาเน่าเปื่อยไปหมดแล้วหรือ?
ชาวเดดานเอ๋ย
จงหันหนีไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำลึก
เพราะเราจะนำหายนะมาสู่เอซาว
ในเวลาที่เราจะลงโทษเขา
หากคนเก็บองุ่นมาหาเจ้า
เขาจะไม่เหลือไว้บ้างนิดหน่อยหรือ?
หากขโมยมาในยามค่ำคืน
เขาจะไม่ขโมยไปเพียงเท่าที่เขาอยากได้หรือ?
10 แต่เราจะกวาดล้างดินแดนของเอซาวจนโล่งเตียน
เราจะเผยที่ซ่อนของเขา
จนเขาไม่สามารถหลบซ่อนได้
ลูกหลาน ญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านของเขาจะพินาศ
และเอซาวเองก็จะสูญสิ้น
11 ทิ้งลูกกำพร้าของเจ้าไว้เถิด เราจะคุ้มครองชีวิตของพวกเขา
แม่ม่ายของเจ้าก็พึ่งพาเราได้”

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “หากผู้ที่ไม่สมควรรับโทษยังต้องดื่มจากถ้วยแห่งโทษทัณฑ์ แล้วเจ้าจะลอยนวลพ้นโทษไปได้หรือ? เจ้าจะไม่พ้นโทษไปได้หรอก เจ้าก็ต้องดื่มด้วย” 13 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เราปฏิญาณโดยอ้างตัวเราเองว่า โบสราห์จะกลายเป็นซากปรักหักพัง เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์และติเตียนสาปแช่ง หัวเมืองทั้งปวงของมันจะเป็นซากปรักหักพังตลอดไป”

14 ข้าพเจ้าได้ยินพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
มีทูตคนหนึ่งถูกส่งออกไปยังประชาชาติต่างๆ เพื่อแจ้งว่า
“จงรวมกำลังกันไปบุกโจมตีเมืองนั้น!
ยกทัพไปรบเถิด!”

15 “บัดนี้เราจะทำให้เจ้าเล็กกระจ้อยร่อยในหมู่ประชาชาติ
เป็นที่เหยียดหยามในหมู่ผู้คน
16 ความสยดสยองที่เจ้าคิดขึ้น
และความหยิ่งผยองในใจได้หลอกลวงเจ้า
เจ้าผู้อาศัยอยู่ในซอกหิน
ผู้ครอบครองยอดเขา
แม้เจ้าจะสร้างรังไว้สูงเหมือนรังนกอินทรี
เราก็จะฉุดเจ้าให้ตกลงมา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
17 “เอโดมจะกลายเป็นเป้าของความสยดสยอง
บรรดาคนที่ผ่านไปมาจะตกตะลึงและจะเยาะเย้ยถากถาง
เนื่องด้วยบาดแผลทั้งสิ้นของมัน”
18 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“โสโดมและโกโมราห์ถูกทำลาย
            พร้อมทั้งเมืองใกล้เคียงฉันใด
เอโดมก็จะไม่มีใครอยู่
ไม่มีใครอาศัยอีกต่อไปฉันนั้น

19 “ดุจสิงโตพุ่งออกมาจากพงไพรแห่งจอร์แดน
สู่ทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์
เราจะขับไล่เอโดมออกจากดินแดนของมันในชั่วพริบตา
ใครคือผู้ที่เราเลือกสรรแต่งตั้งเพื่อการนี้?
ใครจะเสมอเหมือนเราและใครจะท้าทายเราได้?
และคนเลี้ยงแกะหน้าไหนจะต้านทานเราได้?”

20 ฉะนั้นจงฟังแผนการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะจัดการกับเอโดม
สิ่งที่พระองค์ทรงดำริไว้ต่อสู้ผู้ที่อาศัยอยู่ในเทมาน
ลูกอ่อนในฝูงจะถูกลากไป
พระองค์จะทรงทำลายล้างทุ่งหญ้าของพวกเขาเพราะตัวพวกเขา
21 ทั่วโลกจะสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเสียงเอโดมล่มสลาย
เสียงร้องของชาวเอโดมจะดังไปถึงทะเลแดง[b]
22 ดูเถิด! นกอินทรีตัวหนึ่งจะบินร่อนและโฉบลงมา
คลี่ปีกเหนือโบสราห์
วันนั้นจิตใจของนักรบเอโดม
จะเหมือนจิตใจของผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก

พระดำรัสเกี่ยวกับดามัสกัส

23 พระดำรัสเกี่ยวกับดามัสกัสความว่า

“ฮามัทและอารปัดท้อแท้หดหู่
เพราะได้ยินข่าวร้าย
จิตใจของเขาจึงระย่อ
ทุรนทุรายเหมือน[c]ทะเลปั่นป่วน
24 ดามัสกัสก็หมดแรง
เขาหันหนี
และหวาดหวั่นจับใจ
ความทุกข์ทรมานร้าวรานจู่โจมจับหัวใจ
เจ็บปวดรวดร้าวดั่งผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก
25 นครเลื่องชื่อซึ่งเราปีติยินดี
ถูกทอดทิ้งแล้วไม่ใช่หรือ?
26 แน่นอน หนุ่มฉกรรจ์ของกรุงนั้นจะล้มลงกลางถนน
ทหารทุกคนจะถูกสยบในวันนั้น”
            พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น
27 “เราจะจุดไฟเผากำแพงดามัสกัส
มันจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของเบนฮาดัด”

พระดำรัสเกี่ยวกับเคดาร์และฮาโซร์

28 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับเคดาร์และอาณาจักรต่างๆ ของฮาโซร์ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนได้บุกโจมตีความว่า

“จงลุกขึ้น บุกเข้าโจมตีเคดาร์
และทำลายล้างชาวถิ่นตะวันออก
29 เต็นท์และฝูงสัตว์ของเขาจะถูกยึดไป
ที่พักพิงของเขาจะถูกริบไป
พร้อมกับอูฐและข้าวของทั้งปวง
ผู้คนจะร้องบอกพวกเขาว่า
‘ความสยดสยองอยู่รอบด้าน!’

30 “ชนชาวฮาโซร์เอ๋ย จงหนีเร็ว!
ไปซ่อนตัวในถ้ำลึกเถิด”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนได้วางแผนต่อสู้เจ้า
และคิดเล่นงานเจ้า”

31 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“จงลุกขึ้นโจมตีประชาชาติ
            ซึ่งเอกเขนกเอ้อระเหยอยู่อย่างมั่นใจ
ชนชาติซึ่งไม่มีประตูเมือง ไม่มีดาลประตู
อาศัยอยู่โดดเดี่ยวลำพัง
32 อูฐของพวกเขาจะกลายเป็นของปล้น
สัตว์ฝูงใหญ่ของพวกเขาจะกลายเป็นของริบ
เราจะทำให้คนที่อยู่ห่างไกล[d]กระจัดกระจายไปกับสายลม
และจะนำภัยพิบัติรอบด้านมายังพวกเขา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
33 “ฮาโซร์จะกลายเป็นถิ่นหมาใน
เป็นที่ถูกทิ้งร้างตลอดกาล
ไม่มีคนอยู่ที่นั่น
ไม่มีใครอาศัยที่นั่น”

พระดำรัสเกี่ยวกับเอลาม

34 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับเอลามซึ่งมีมาถึงผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ในต้นรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ความว่า

35 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“ดูเถิด เราจะหักธนูของเอลาม
ขุมกำลังของเขา
36 เราจะนำลมทั้งสี่จากย่านทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์
มาเล่นงานคนเอลาม
เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปตามลมทั้งสี่
ไม่มีชาติไหนที่เอลาม
ไม่ได้ตกเป็นเชลย
37 เราจะทำให้เอลามแหลกป่นปี้ต่อหน้าศัตรู
ต่อหน้าคนที่หมายเอาชีวิตของเขา
เราจะนำภัยพิบัติ
และโทสะเกรี้ยวกราดลงมาเหนือเขา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เราจะใช้ดาบตามล่าพวกเขา
จนกว่าพวกเขาจะถึงจุดจบ
38 เราจะตั้งบัลลังก์ของเราไว้ในเอลาม
และทำลายกษัตริย์กับเหล่าขุนนาง”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

39 “แต่ในภายภาคหน้า
เราจะให้เอลามกลับสู่สภาพดี”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

Footnotes

  1. 49:1 หรือกษัตริย์ของพวกเขาภาษาฮีบรูว่ามัลคามเช่นเดียวกับข้อ 3
  2. 49:21 คือ ทะเลต้นกก
  3. 49:23 ภาษาฮีบรูว่าบนหรือริม
  4. 49:32 หรือคนที่ขริบผมที่หน้าผาก

การตัดสินลงโทษอัมโมน

49 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงชาวอัมโมนดังนี้

“อิสราเอลไม่มีบุตรชายหรือ
    เขาไม่มีทายาทหรือ
ทำไมเทพเจ้ามิลโคมที่พวกเขานมัสการจึงได้ยึดดินแดนของกาด
    และประชาชนก็ปักหลักอยู่ที่เมืองต่างๆ ของกาด”

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“ดูเถิด ใกล้จะถึงเวลาแล้วที่เราจะทำให้ทั่วทั้งรับบาห์
    เมืองหลวงของชาวอัมโมนมีเสียงสู้รบ
และเมืองจะสลักหักพังเป็นกองพะเนิน
    หมู่บ้านจะถูกไฟเผา
แล้วอิสราเอลจะยึดดินแดน
    กลับคืนจากผู้ที่ยึดไปจากเขา”
    พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

“โอ เฮชโบนเอ๋ย เมืองอัยถูกพังพินาศ
    โอ บุตรหญิงของรับบาห์เอ๋ย
ส่งเสียงร้องและสวมผ้ากระสอบเถิด
    ร้องโหยไห้และวิ่งไปมาในบริเวณกำแพงเมืองเถิด
เพราะมิลโคมจะไปเป็นเชลย
    ร่วมกับบรรดาปุโรหิตและผู้นำของเขา
โอ บุตรหญิงที่ไม่ภักดีเอ๋ย
    ทำไมเจ้าจึงโอ้อวดหุบเขาของเจ้า
    หุบเขาอันอุดมสมบูรณ์
เจ้าไว้วางใจในความมั่งมีเมื่อพูดว่า
    ‘ใครจะมาโจมตีเราได้’”

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า

“ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าหวาดกลัว
    จากทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างเจ้า
และเจ้าจะถูกขับไล่ออกไป
    ทุกคนจะรีบหนีไปโดยไม่ห่วงหน้าห่วงหลัง
    จะไม่มีผู้ใดรวบรวมพลังคนเข้าด้วยกันอีก

แต่ในภายหลัง เราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของอัมโมน กลับคืนสู่สภาพเดิม” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

การตัดสินลงโทษเอโดม

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวถึงเอโดมดังนี้

“ไม่มีผู้มีสติปัญญาในเทมานอีกเลยหรือ
    ไม่มีคำปรึกษาจากคนฉลาดรอบคอบอีกหรือ
    สติปัญญาของพวกเขาสูญหายไปแล้วหรือ
โอ บรรดาผู้อยู่อาศัยของเดดานเอ๋ย
    จงหันกลับและหนีไป ไปซ่อนตัวในถ้ำ
เพราะเราจะนำความวิบัติมาสู่พงศ์พันธุ์เอซาว[a]
    ในเวลาที่เราลงโทษเขา
ถ้าพวกคนเก็บองุ่นมาหาเจ้า
    พวกเขาจะเก็บองุ่นจนเกลี้ยงเถาหรือ
ถ้าพวกขโมยมาในเวลากลางคืน
    พวกเขาจะขโมยเท่าที่พวกเขาต้องการมิใช่หรือ
10 แต่เราได้ริบทุกสิ่งไปจากพงศ์พันธุ์เอซาวจนหมดสิ้น
    เราได้รื้อแหล่งที่ซ่อนตัวของเขา
    และเขาไม่สามารถหลบหนีไปได้
บุตรหลานของเขาจะสิ้นชีวิต
    รวมทั้งพี่น้องและเพื่อนบ้านของเขา
    ไม่มีใครเหลือสักคน
11 ปล่อยเด็กกำพร้าไว้ เราจะปกป้องชีวิตพวกเขา
    และให้แม่ม่ายของพวกเจ้าไว้วางใจเรา”

12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ถ้าบรรดาผู้ที่ไม่สมควรจะถูกลงโทษ ต้องถูกลงโทษ แล้วเจ้าจะพ้นจากการลงโทษหรือ เจ้าจะไม่พ้นจากการลงโทษ แต่เจ้าจะถูกลงโทษ” 13 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “เพราะเราได้ปฏิญาณโดยตัวเราเองแล้วว่า เมืองโบสราห์จะเป็นที่น่าหวาดกลัว เป็นที่หัวเราะเยาะ เป็นที่รกร้าง และเป็นคำสาปแช่ง และเมืองต่างๆ จะเป็นที่รกร้างตลอดไป”

14 ข้าพเจ้าได้รับข้อความจากพระผู้เป็นเจ้า
    และผู้ส่งข่าวผู้หนึ่งถูกส่งให้ไปยังบรรดาประชาชาติ เพื่อบอกดังนี้ว่า
“จงเรียกประชุมกองทัพเข้าด้วยกัน
    ไปต่อต้านเอโดมและพร้อมที่จะสู้รบ
15 ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าด้อยในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
    ทุกคนจะดูหมิ่นเจ้า
16 ความน่ากลัวของเจ้าที่มีต่อผู้อื่น
    และใจหยิ่งยโสของเจ้าได้ลวงเจ้าแล้ว
เจ้าอาศัยอยู่ในซอกหิน
    อยู่บนภูเขาสูง
แม้ว่าเจ้าจะทำรังของเจ้าให้อยู่สูงเท่ากับรังนกอินทรี
    เราก็จะทำให้เจ้าลงมาจากที่นั่น”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

17 “เอโดมจะกลายเป็นที่น่าหวาดกลัว ทุกคนที่ผ่านไปก็จะหวาดผวาและเหน็บแนมเพราะความวิบัติทั้งสิ้น” 18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “เช่นเดียวกับเวลาที่โสโดมและโกโมราห์และเมืองที่อยู่รอบข้างถูกทำลาย[b] จะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่น จะไม่มีบุตรมนุษย์คนใดเดินทางผ่านไปที่นั่นอีก 19 ดูเถิด ผู้หนึ่งจะเป็นเหมือนสิงโตที่ขึ้นมาจากป่าที่ข้างแม่น้ำจอร์แดน มายังทุ่งอันเขียวชอุ่ม เราจะทำให้เขาเตลิดหนีไปจากที่นั่นทันที และเราจะแต่งตั้งผู้ที่เราเลือกให้ปกครองชาตินั้น ใครจะเป็นเหมือนเรา ใครจะท้าทายเรา ไม่มีผู้เลี้ยงดูฝูงแกะคนใดที่จะขัดขวางเราได้” 20 ฉะนั้น จงฟังว่า พระผู้เป็นเจ้าได้วางแผนทำอย่างไรต่อเอโดม และพระองค์ประสงค์จะทำอย่างไรต่อบรรดาผู้อยู่อาศัยของเทมาน แม้แต่พวกเด็กน้อยในฝูงก็จะถูกลากตัวไป พระองค์จะทำลายทุ่งหญ้าของพวกเขาอย่างแน่นอนก็เพราะพวกเขา 21 เมื่อพวกเอโดมล้ม แผ่นดินโลกจะสั่นสะเทือน เสียงร้องของพวกเขาจะเป็นที่ได้ยินไปจนถึงทะเลแดง 22 ดูเถิด ผู้หนึ่งจะลุกขึ้นและบินโฉบมาอย่างนกอินทรี และกางปีกออกโจมตีโบสราห์ และใจของบรรดานักรบของเอโดมจะเป็นอย่างใจของผู้หญิงที่เจ็บครรภ์

การตัดสินลงโทษดามัสกัส

23 พระองค์กล่าวถึงดามัสกัสว่า

“เมืองฮามัทและอาร์ปัดต้องอับอาย
    เพราะพวกเขาได้ทราบข่าวร้าย
พวกเขาท้อใจด้วยความกลัว
    และวิตกเหมือนทะเลที่ปั่นป่วนอย่างไม่หยุดยั้ง
24 ดามัสกัสกลายเป็นพวกอ่อนแอ
    และหันหลังเตลิดหนี
    ตื่นตระหนกเป็นที่สุด
เป็นทุกข์และปวดร้าวยิ่งนัก
    ราวกับหญิงที่เจ็บครรภ์
25 เมืองที่มีชื่อเสียง เมืองแห่งความยินดีของเรา
    ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว
26 ฉะนั้น ชายหนุ่มของเมืองจะล้มตายที่ถนนหนทาง
    และทหารทั้งปวงจะถูกสังหารในวันนั้น”
    พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น
27 “และเราจะจุดไฟให้ลุกกำแพงเมืองดามัสกัส
    และไฟจะเผาผลาญวังของเบนฮาดัด”

การตัดสินลงโทษเคดาร์และฮาโซร์

28 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเคดาร์และอาณาจักรของฮาโซร์ที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนโจมตีดังนี้

“จงลุกขึ้นบุกและโจมตีเคดาร์
    กำจัดประชาชนที่อยู่ในเขตตะวันออก
29 พวกเขาจะยึดกระโจมและฝูงแพะแกะ
    และจะขนไปเป็นของตน
    รวมทั้งม่าน สินค้าทั้งสิ้น และอูฐ
และจะตะโกนต่อพวกเขาว่า
    ‘ความน่ากลัวอยู่รอบด้าน’
30 โอ บรรดาผู้อยู่อาศัยของฮาโซร์เอ๋ย
    จงวิ่งหนีไปให้ไกล ไปซ่อนตัวในถ้ำ”
    พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น
“เพราะเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้วางแผนโจมตีเจ้า
    และมียุทธวิธีที่จะบุกรุกเจ้า”

31 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศว่า

“จงลุกขึ้นบุกและโจมตีประชาชาติหนึ่งที่นิ่งนอนใจ
    และอยู่กันอย่างปลอดภัย
ไม่มีประตูเมืองหรือดาลประตู
    อยู่อย่างโดดเดี่ยว”

32 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ว่า

“ฝูงอูฐของพวกเขาจะถูกปล้น
    ฝูงโคจะเป็นสิ่งที่ศัตรูริบไป
เราจะทำให้พวกที่ตัดผมที่จอนหู
    ต้องกระจัดกระจายออกไป
เราจะให้พวกเขาประสบกับความวิบัติจากรอบด้าน
33 ฮาโซร์จะกลายเป็นที่อยู่ของหมาใน
    เป็นที่รกร้างไปตลอดกาล
จะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่น
    จะไม่มีผู้ใดเดินทางผ่านไปที่เมืองนั้นอีก”

การตัดสินลงโทษเอลาม

34 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถึงเอลาม ในต้นรัชสมัยของเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์

35 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ดูเถิด เราจะหักคันธนูของเอลาม ซึ่งเป็นพลังสำคัญของพวกเขา 36 และเราจะทำให้ลมทั้ง 4 ทิศจากทุกมุมสวรรค์กระหน่ำลงที่เอลาม และเราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ และทุกประชาชาติจะมีผู้ลี้ภัยของเอลาม ซึ่งระหกระเหินไปอยู่ด้วย 37 เราจะทำให้เอลามตกใจกลัวต่อหน้าศัตรูและพวกที่ต้องการจะฆ่าพวกเขา” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เราจะนำความพินาศอันเกิดจากความกริ้วของเรามาสู่พวกเขา เราจะส่งคนมาสังหารพวกเขาจนกว่าเราจะกำจัดพวกเขาจนหมดสิ้น 38 และเราจะให้บัลลังก์ของเราอยู่ที่เอลาม และกำจัดกษัตริย์และบรรดาผู้นำของพวกเขา” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

39 “แต่ในภายหลัง เราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของเอลามคืนสู่สภาพเดิม” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น