พระเยซูคริสต์ทรงคืนพระชนม์

15 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากเตือนท่านให้ระลึกถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านได้รับไว้และตั้งมั่นอยู่บนฐานนี้ ถ้าท่านยึดมั่นในถ้อยคำที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะรอดโดยข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้นท่านก็เชื่อโดยเปล่าประโยชน์

เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด[a] และข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้ท่านคือ พระคริสต์ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ทรงถูกฝังไว้และในวันที่สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ และทรงปรากฏแก่เปโตร[b] จากนั้นปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสองคน ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บางคนได้ล่วงลับไปแล้ว จากนั้นพระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบและแก่อัครทูตทั้งปวง และในท้ายที่สุดพระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเหมือนทารกที่คลอดผิดปกติ

เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยที่สุดในหมู่อัครทูตและไม่คู่ควรแม้กระทั่งจะได้ชื่อว่าอัครทูต เพราะข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า 10 แต่โดยพระคุณของพระเจ้าข้าพเจ้าจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ และพระคุณของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้านั้นไม่ใช่ว่าจะไร้ผล ข้าพเจ้าทำงานหนักยิ่งกว่าพวกเขาทั้งปวง แต่ไม่ใช่ข้าพเจ้าเองเป็นคนทำ พระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ 11 ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นข้าพเจ้าหรือพวกเขา นี่คือสิ่งที่เราประกาศและนี่คือสิ่งที่ท่านได้เชื่อ

การเป็นขึ้นจากตาย

12 แต่ถ้าเราประกาศว่าพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตาย เหตุใดพวกท่านบางคนยังกล่าวว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากตาย? 13 ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว พระคริสต์เองก็ไม่ได้เป็นขึ้นจากตายด้วย 14 และถ้าพระคริสต์ไม่ได้เป็นขึ้นจากตาย คำเทศนาของเราก็ไร้ค่าและความเชื่อของท่านก็ไร้ค่า 15 ยิ่งไปกว่านั้นกลายเป็นว่าเราเป็นพยานเท็จเรื่องพระเจ้า เพราะเราเป็นพยานว่าพระเจ้าทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย แต่ถ้าความจริงคือพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตายเป็นขึ้นมา พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา 16 เพราะถ้าพระเจ้าไม่ทรงให้คนตายเป็นขึ้นแล้ว พระองค์ย่อมไม่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นเช่นกัน 17 และถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ความเชื่อของท่านก็ไร้ผล ท่านยังคงอยู่ในบาปของตน 18 แล้วบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย 19 ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงเพื่อชีวิตนี้ เราก็น่าสมเพชกว่าคนทั้งปวง

20 แต่นี่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป 21 เพราะในเมื่อความตายสืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตายก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัมคนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น 23 แต่จะเป็นไปตามลำดับคือ พระคริสต์ผู้เป็นผลแรก จากนั้นบรรดาคนของพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมา 24 แล้วจุดจบก็มาถึงเมื่อพระองค์ทรงถวายอาณาจักรแด่พระเจ้าพระบิดา หลังจากที่ทรงทำลายเทพผู้ปกครองอาณาจักร เทพผู้ทรงอำนาจ และเทพผู้ทรงเดชานุภาพทั้งปวง 25 เพราะพระองค์จะต้องครอบครองจนกว่าพระองค์จะได้สยบศัตรูทั้งสิ้นไว้ใต้พระบาทของพระองค์ 26 ศัตรูตัวสุดท้ายที่ต้องทรงทำลายคือความตาย 27 เพราะพระองค์ “ได้ทรงทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้พระบาทของพระองค์”[c] ที่ว่า “ทุกสิ่ง” อยู่ใต้พระองค์นี้เป็นที่ชัดเจนว่าไม่รวมถึงพระเจ้าเองผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระคริสต์ 28 เมื่อพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้แล้ว พระบุตรเองจะอยู่ภายใต้พระเจ้าผู้ทรงทำให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงอยู่เหนือ[d]ทุกสิ่ง

29 เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว บรรดาผู้ที่รับบัพติศมาสำหรับคนตายจะทำอย่างไร? ถ้าคนตายไม่คืนชีวิต ทำไมยังมีคนรับบัพติศมาเพื่อผู้ตาย? 30 และสำหรับเรา ทำไมเราจึงต้องเผชิญภยันตรายอยู่ทุกเวลา? 31 ข้าพเจ้าตายทุกวัน พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความเช่นนั้น สิ่งนี้แน่นอนเหมือนที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจในพวกท่านในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 32 ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับพวกสัตว์ป่าในเอเฟซัสเพียงเพื่อเหตุผลของมนุษย์ ข้าพเจ้าได้อะไร? หากพระเจ้าไม่ได้ให้คนตายเป็นขึ้นมา

“ให้เรากินและดื่ม
เพราะพรุ่งนี้เราก็ตายแล้ว”[e]

33 อย่าให้ใครชักจูงให้หลงผิดเลย “เพื่อนเลวย่อมทำให้อุปนิสัยที่ดีเสื่อมทรามไป” 34 จงกลับมีสติสัมปชัญญะอย่างที่ควรเถิดและเลิกทำบาป เพราะมีบางคนไม่รู้จักพระเจ้าเลย ที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้ท่านละอายใจ

กายที่เป็นขึ้นจากตาย

35 แต่บางคนอาจจะถามว่า “คนตายเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อเป็นขึ้นร่างกายของเขาจะเป็นแบบไหน?” 36 ช่างเขลาเสียจริง! สิ่งที่ท่านหว่านลงจะไม่มีชีวิตขึ้นมา ถ้าสิ่งนั้นไม่ตายเสียก่อน 37 เมื่อท่านหว่าน ท่านไม่ได้ปลูกต้นที่โตเต็มที่แล้ว แต่ท่านปลูกแค่เมล็ด ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดข้าวสาลีหรือเมล็ดพืชใดๆ 38 แต่พระเจ้าประทานลำต้นตามที่ได้ทรงกำหนดไว้ และพระองค์ประทานลำต้นของมันเองให้แก่เมล็ดแต่ละชนิด 39 เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง สัตว์ต่างๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ปีกสัตว์น้ำก็อีกอย่างหนึ่ง 40 กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง 41 สง่าราศีของดวงอาทิตย์เป็นแบบหนึ่ง ดวงจันทร์ก็อีกแบบหนึ่ง และดวงดาวก็อีกแบบหนึ่ง อันที่จริงสง่าราศีของดาวแต่ละดวงก็ต่างกัน

42 การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน กายที่หว่านลงนั้นเสื่อมสลายได้ ที่เป็นขึ้นมาใหม่จะไม่เสื่อมสลาย 43 ที่หว่านลงนั้นไร้ศักดิ์ศรี ที่เป็นขึ้นเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี ที่หว่านลงนั้นอ่อนแอ ที่เป็นขึ้นทรงพลัง 44 ที่หว่านลงนั้นเป็นกายธรรมชาติ ที่เป็นขึ้นเป็นกายวิญญาณ

ถ้ามีกายธรรมชาติย่อมมีกายวิญญาณด้วย 45 จึงมีเขียนไว้ว่า “อาดัมมนุษย์คนแรกจึงกลายเป็นผู้มีชีวิต”[f] ส่วนอาดัมคนหลังเป็นวิญญาณผู้ให้ชีวิต 46 กายวิญญาณไม่ได้มาก่อน แต่กายธรรมชาติมาก่อนและกายวิญญาณมาทีหลัง 47 มนุษย์คนแรกมาจากธุลีดินของโลกนี้ มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์ 48 คนฝ่ายโลกเป็นอย่างไร ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น คนจากสวรรค์เป็นอย่างไร ชาวสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้น 49 และเราเกิดมามีลักษณะเหมือนกับคนฝ่ายโลกอย่างไร เราก็จะมี[g]ลักษณะเหมือนกับคนจากสวรรค์อย่างนั้น

50 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศว่าเนื้อและเลือดไม่อาจรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก และสิ่งที่เสื่อมสลายไม่อาจรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดก 51 ฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกข้อล้ำลึกแก่ท่าน คือเราจะไม่ล่วงลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง 52 ชั่วแวบเดียวในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้นแบบไม่เสื่อมสลายและเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง 53 เพราะที่เสื่อมสลายต้องสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้ต้องสวมที่ไม่มีวันตาย 54 เมื่อที่เสื่อมสลายนั้นสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้นั้นสวมที่ไม่มีวันตายแล้ว คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ก็จะเป็นจริงคือ “ความตายก็พ่ายแพ้ถูกกลืนหายไป”[h]

55 “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า?
ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?”[i]

56 เหล็กไนของความตายคือบาป และอานุภาพของบาปคือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า! พระองค์ประทานชัยชนะแก่เราโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

58 เหตุฉะนั้นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงตั้งมั่นอยู่ อย่าให้สิ่งใดทำให้ท่านหวั่นไหว จงทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้กับงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะท่านรู้ว่าในองค์พระผู้เป็นเจ้า การงานของท่านจะไม่สูญเปล่า

Footnotes

  1. 15:3 หรือเป็นประการแรก
  2. 15:5 ภาษากรีกว่าเคฟาส
  3. 15:27 สดด.8:6
  4. 15:28 ภาษากรีกว่าทรงเป็นทุกสิ่งใน
  5. 15:32 อสย.22:13
  6. 15:45 ปฐก.2:7
  7. 15:49 สำเนาต้นฉบับเก่าแก่บางสำเนาว่าดังนั้นให้เรามี
  8. 15:54 อสย.25:8
  9. 15:55 ฮชย. 13:14

พระคริสต์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย

15 บัดนี้ ข้าพเจ้าต้องการเตือนพี่น้องทั้งหลายถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านก็ได้รับและยืนหยัดอยู่ได้ หากว่าท่านยึดมั่นในสิ่งที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะมีชีวิตรอดพ้นเพราะข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้นความเชื่อของท่านจะไร้ประโยชน์

สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับนั้น ข้าพเจ้าได้มอบให้แก่ท่าน อันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือพระคริสต์ได้สิ้นชีวิตเพื่อบาปของเรา ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์ถูกฝัง ได้ฟื้นคืนชีวิตในวันที่สาม ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์ได้ปรากฏกายแก่เคฟาส และต่อจากนั้นก็ได้ปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสอง หลังจากนั้นพระองค์ปรากฏแก่พี่น้องกว่า 500 คนในคราวเดียวกัน ซึ่งส่วนมากก็ยังมีชีวิตอยู่ แม้จะมีบางคนที่ได้ล่วงลับไปแล้วก็ตาม จากนั้นพระองค์ก็ได้ปรากฏแก่ยากอบและอัครทูตทั้งหมด พระองค์ก็ยังปรากฏแก่ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายด้วย ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนที่เกิดมาไม่ตรงตามกำหนดเวลา ข้าพเจ้าเป็นคนด้อยที่สุดในหมู่อัครทูต และไม่สมควรที่จะให้ผู้ใดเรียกข้าพเจ้าว่าอัครทูต เพราะข้าพเจ้าได้กดขี่ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า 10 ข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นนี้ได้ ก็เพราะพระคุณของพระเจ้า และพระคุณนี้ก็มิได้ไร้ผล แต่ในทางตรงกันข้าม คือข้าพเจ้าทำงานหนักกว่าทุกคนที่กล่าวมานี้ แม้จะไม่ใช่ด้วยตัวข้าพเจ้าเอง แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อข้าพเจ้า 11 ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นข้าพเจ้าหรือเขาเหล่านั้น คือพวกเราประกาศกัน และพวกท่านก็ได้เชื่อแล้ว

การฟื้นคืนชีวิตของคนตาย

12 ในเมื่อเราประกาศว่าพระคริสต์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว พวกท่านบางคนพูดได้อย่างไรว่า ไม่มีการฟื้นคืนชีวิตของคนตาย 13 ถ้าไม่มีการฟื้นคืนชีวิตของคนตายแล้ว ดังนั้นแม้แต่พระคริสต์ก็ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิต 14 และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิต การประกาศของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน 15 ยิ่งกว่านั้นจะกลายเป็นว่า เราเป็นพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเรายืนยันเกี่ยวกับพระเจ้าว่า พระองค์ได้ให้พระคริสต์ฟื้นคืนชีวิต แต่ถ้าคนตายไม่ได้ฟื้นคืนชีวิตจริงแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ให้พระคริสต์ฟื้นคืนชีวิต 16 เพราะถ้าคนตายทั้งหลายไม่ได้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว พระคริสต์ก็ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิตด้วย 17 และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิต ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาป 18 พวกที่ล่วงลับไปขณะที่เชื่อในพระคริสต์ ก็พินาศไปเสียแล้วด้วย 19 ถ้าเราหวังในพระคริสต์แค่ช่วงชีวิตนี้เท่านั้น เราก็เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง

20 แต่บัดนี้พระคริสต์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย พระองค์เป็นผลแรก[a]ของบรรดาผู้ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว 21 ในเมื่อความตายได้เกิดขึ้นโดยมนุษย์คนเดียว การฟื้นคืนชีวิตจากความตายก็เกิดขึ้นจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 มนุษย์ทุกคนตายเพราะความเกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด ทุกคนจะได้รับชีวิตมาได้ ก็เพราะความเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ฉันนั้น 23 แต่จะเป็นไปตามลำดับโดยมีพระคริสต์เป็นผลแรก หลังจากนั้นก็คือบรรดาคนของพระคริสต์ เวลาที่พระองค์จะมาอีก 24 แล้วก็ถึงวันสิ้นวาระ เมื่อพระองค์มอบอาณาจักรแด่พระเจ้าผู้เป็นพระบิดา หลังจากที่พระองค์ได้ทำลายพวกที่อยู่ในระดับปกครอง ผู้มีสิทธิอำนาจและอานุภาพทั้งหลาย 25 เพราะว่าพระองค์ต้องครอง จนกระทั่งพระเจ้าปราบศัตรูทั้งหมดให้อยู่ใต้เท้าของพระองค์ 26 ศัตรูท้ายสุดที่ต้องทำลายคือความตาย 27 เพราะว่า “พระเจ้าได้ให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าของพระองค์แล้ว”[b] แต่เมื่อพระองค์กล่าวว่า “ทุกสิ่งถูกปราบให้อยู่ภายใต้พระองค์” ก็เป็นที่ชัดแจ้งว่า เป็นการยกเว้นพระเจ้าผู้ปราบทุกสิ่งให้อยู่ภายใต้พระคริสต์ 28 เมื่อทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระบุตรแล้ว พระบุตรก็จะอยู่ภายใต้พระเจ้าผู้ปราบทุกสิ่งให้อยู่ภายใต้พระองค์ เพื่อว่าพระเจ้าจะได้เป็นใหญ่เหนือสิ่งทั้งปวง

29 ถ้าไม่มีการฟื้นคืนชีวิต แล้วบรรดาผู้ที่รับบัพติศมาเพื่อคนตาย[c]จะทำอย่างไร ถ้าคนตายไม่ฟื้นคืนชีวิตเลย ทำไมผู้คนจึงรับบัพติศมาเพื่อเขา 30 และทำไมเราจึงเสี่ยงอันตรายตลอดเวลาเล่า 31 พี่น้องทั้งหลาย เป็นความจริงที่ข้าพเจ้าเผชิญกับความตายทุกวัน จริงเท่าๆ กับความภูมิใจที่ข้าพเจ้ามีในท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 32 ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับสัตว์ป่าในเมืองเอเฟซัส เนื่องจากเหตุผลของมนุษย์เท่านั้น แล้วข้าพเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร หากว่าคนตายไม่ฟื้นคืนชีวิต “เรามาดื่มกินกันเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตายแล้ว”[d] 33 อย่าหลงผิดเลย “การคบคนชั่วย่อมทำให้นิสัยเสียมากขึ้น” 34 จงครองสติให้ดีเถิดและอย่าทำบาป เพราะว่ามีบางคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ก็เพราะจะให้ท่านมีความละอายใจ

35 แต่บางคนอาจจะถามว่า “คนตายฟื้นคืนชีวิตได้อย่างไร จะมีร่างกายเป็นอย่างไร” 36 คนเขลาเอ๋ย สิ่งที่ท่านหว่าน ถ้าจะมีชีวิตขึ้นมาได้ก็ต้องตายไปก่อน 37 สิ่งที่ท่านหว่าน ท่านไม่ได้หว่านเป็นต้นพืช แต่หว่านเพียงเมล็ดเช่นข้าวสาลีหรือพืชอื่นๆ 38 แต่พระเจ้ามอบต้นให้ตามที่พระองค์เห็นชอบ และแต่ละเมล็ดก็ได้ต้นตามชนิดของมัน 39 ร่างกายไม่เหมือนกันหมด มนุษย์มีร่างกายอย่างหนึ่ง สัตว์ก็อย่างหนึ่ง นกก็อย่างหนึ่ง ปลาก็อีกอย่างหนึ่ง 40 มีร่างกายสำหรับสวรรค์ และร่างกายสำหรับโลกด้วย แต่สง่าราศีของกายฝ่ายสวรรค์เป็นอย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายฝ่ายโลกก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง 41 ดวงอาทิตย์มีสง่าราศีอย่างหนึ่ง ดวงจันทร์อย่างหนึ่ง ดวงดาวก็อีกอย่างหนึ่ง ดาวแต่ละดวงก็มีสง่าราศีต่างกันไปด้วย

42 การฟื้นคืนชีวิตของคนตายก็เช่นกัน ร่างที่ถูกหว่านนั้นเน่าเปื่อยได้ ร่างที่ฟื้นคืนชีวิตไม่รู้จักเน่าเปื่อย 43 ร่างที่ถูกหว่านนั้นไร้เกียรติ แต่ฟื้นคืนชีวิตด้วยสง่าราศี ร่างที่ถูกหว่านนั้นอ่อนแอ และฟื้นคืนชีวิตด้วยอานุภาพ 44 ร่างที่ถูกหว่านด้วยกายแห่งความเป็นมนุษย์ และฟื้นคืนชีวิตด้วยกายฝ่ายวิญญาณ ถ้ามีกายแห่งความเป็นมนุษย์ ก็มีกายฝ่ายวิญญาณด้วย 45 มีบันทึกไว้ว่า “อาดัมคนแรกได้มาเป็นบุคคลที่มีชีวิต”[e] อาดัมคนสุดท้ายเป็นพระวิญญาณที่ให้ชีวิต 46 กายฝ่ายวิญญาณไม่ได้เกิดขึ้นก่อน แต่เป็นกายแห่งความเป็นมนุษย์ แล้วหลังจากนั้นจึงเป็นฝ่ายวิญญาณ 47 มนุษย์คนแรกมาจากดินแห่งแผ่นดินโลก มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์ 48 มนุษย์ดินเป็นอย่างไร บรรดามนุษย์ที่มาจากดินก็เป็นอย่างนั้น และมนุษย์ที่มาจากสวรรค์เป็นอย่างไร บรรดามนุษย์ที่จะได้ไปสวรรค์ก็จะเป็นอย่างนั้น 49 และเท่าที่เรามีคุณลักษณะเหมือนมนุษย์ที่มาจากดิน เราก็จะมีคุณลักษณะเหมือนมนุษย์ที่มาจากสวรรค์ด้วย

50 ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพี่น้องทั้งหลายว่า เลือดเนื้อจะไม่มีส่วนได้ในอาณาจักรของพระเจ้า สิ่งที่เน่าเปื่อยได้ไม่อาจมีส่วนได้ร่วมกับสิ่งที่ไม่รู้จักเน่าเปื่อยเช่นกัน 51 จงฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกเรื่องอันลึกลับซับซ้อนให้ท่านรู้ว่า เราจะไม่ล่วงลับเสียทุกคน เพียงแต่เราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง 52 ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อแตรเป่าครั้งสุดท้าย เมื่อใดที่แตรจะเปล่งเสียง คนตายจะฟื้นคืนชีวิตและจะไม่มีวันเน่าเปื่อยได้อีก และเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ 53 เพราะสิ่งที่เน่าเปื่อยต้องสวมด้วยความไม่เน่าเปื่อย และสิ่งที่ตายสวมด้วยสิ่งที่เป็นอมตะ 54 เมื่อสิ่งที่เน่าเปื่อยสวมด้วยสิ่งที่ไม่เน่าเปื่อย และสิ่งที่ตายสวมด้วยสิ่งที่เป็นอมตะ แล้วสิ่งที่บันทึกไว้ก็จะเป็นจริง

“ความตายถูกกลืนด้วยความมีชัย”[f]
55     “ความตายเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน
    ความตายเอ๋ย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน”[g]

56 เหล็กในของความตายคือบาป และอานุภาพของบาปคือกฎบัญญัติ 57 แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ให้เรามีชัยชนะโดยทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

58 ฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าจงยืนหยัดไว้เถิด อย่ายอมให้สิ่งใดทำให้ท่านสั่นคลอนได้ จงปฏิบัติงานของพระผู้เป็นเจ้าให้เต็มที่อยู่เสมอ เพราะท่านทราบว่าน้ำพักน้ำแรงของท่านในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ไร้ประโยชน์

Footnotes

  1. 15:20 ผลแรก ชาวฮีบรูถวายผลจากการเก็บเกี่ยวของการกสิกรรมส่วนแรกแด่พระเจ้า เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า การเก็บเกี่ยวทั้งหมดเป็นของพระเจ้า
  2. 15:27 สดุดี 8:6
  3. 15:29 เป็นที่ปรากฏในคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ว่า มีบางคนที่คิดว่าการรับบัพติศมาแทนญาติหรือเพื่อนที่ตายแล้วซึ่งยังไม่เคยรับบัพติศมา จะช่วยให้ผู้ตายมีความรอดพ้นได้
  4. 15:32 อิสยาห์ 22:13
  5. 15:45 ปฐมกาล 2:7
  6. 15:54 อิสยาห์ 25:8
  7. 15:55 โฮเชยา 13:14