Add parallel Print Page Options

ชาวเลวีและภรรยาน้อยของเขา

19 ในสมัยนั้น ในคราวที่ไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล มีชาวเลวีคนหนึ่งกำลังหาที่พักในบริเวณที่ห่างจากชุมชนในแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม เขารับเอาหญิงคนหนึ่งจากเบธเลเฮมในแคว้นยูดาห์มาเป็นภรรยาน้อย นางไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา ทิ้งเขาไป และกลับไปบ้านบิดาที่เบธเลเฮมในยูดาห์ หลังจากที่ได้กลับไปอยู่ที่นั่นได้ 4 เดือน สามีของนางก็ไปหานางเพื่อเกลี้ยกล่อมให้นางกลับไปอยู่กับเขา เขาพาคนรับใช้และลา 2 ตัวไปด้วย นางเชิญเขาเข้าบ้านบิดา เมื่อบิดานางเห็นและพบกับเขาแล้ว ก็ต้อนรับเขาเป็นอย่างดี พ่อตาของเขาคือบิดาของหญิงคนนี้ ก็ขอให้เขาพักอยู่ด้วยกัน เขาจึงพักอยู่ 3 วัน ดังนั้นพวกเขาดื่มกินและพักแรมอยู่ที่นั่น พอวันที่สี่ พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ เขาก็เตรียมพร้อมจะจากไป แต่บิดาของผู้หญิงพูดกับบุตรเขยของตนว่า “จงกินอาหารให้สบายใจก่อน เรียบร้อยแล้วจึงไป” เขา 2 คนจึงนั่งลงดื่มกินด้วยกัน แล้วบิดาของผู้หญิงพูดกับชายคนนั้นว่า “อยู่ค้างอีกคืนเถิด ให้เจ้าสำราญใจเสียก่อน” เมื่อชายคนนั้นลุกขึ้นจะจากไป พ่อตาของเขาก็รบเร้า จนเขาต้องค้างอยู่ที่นั่นอีกคืนหนึ่ง พอวันที่ห้า เขาตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อจะจากไป บิดาของผู้หญิงพูดว่า “จงให้สบายใจก่อน แล้วรอไปจนถึงบ่ายเถิด” ดังนั้นทั้งสองจึงรับประทานอาหารกัน เมื่อชายคนนั้นกับภรรยาน้อยและคนรับใช้ลุกขึ้นเพื่อจะจากไป พ่อตาของเขาคือบิดาของหญิงคนนั้นพูดกับเขาว่า “ดูเถิด นี่ก็เกือบเย็นแล้ว จงอยู่ค้างคืนเถิด วันก็เกือบจะล่วงแล้ว จงค้างแรมที่นี่ และให้เจ้าสำราญใจเสียก่อน พรุ่งนี้เจ้าจึงลุกขึ้นออกเดินทางแต่เช้าตรู่ และกลับบ้านได้”

10 แต่ชายคนนั้นไม่ยอมค้างคืนอีก เขาลุกขึ้นจากไป เมื่อมาถึงตรงข้ามกับเมืองเยบุส (คือเยรูซาเล็ม) ลา 2 ตัวที่มีอานกับภรรยาน้อยก็อยู่กับเขา 11 เมื่อพวกเขามาเกือบถึงเยบุสแล้ว ก็ใกล้ค่ำ คนรับใช้จึงพูดกับนายว่า “เราไปแวะที่เมืองของชาวเยบุส และค้างคืนที่นั่นกันเถิด” 12 เจ้านายพูดกับเขาว่า “พวกเราจะไม่แวะเข้าไปในเมืองของชาวต่างแดนที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอล แต่เราจะเลยไปอีกจนถึงเมืองกิเบอาห์” 13 และเขาพูดกับชายหนุ่มของเขาว่า “มาเถิด เราไปกันให้ถึงกิเบอาห์หรือรามาห์ แล้วจึงค้างคืนเสียที่ใดที่หนึ่ง” 14 ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางต่อไป เมื่อมาใกล้กิเบอาห์ซึ่งเป็นของเบนยามินแล้ว ก็พอดีกับเวลาที่ดวงอาทิตย์ตก 15 พวกเขาจึงแวะที่นั่นเพื่อจะพักแรมที่กิเบอาห์ เขาเข้าไปนั่งที่ลานเมือง เพราะไม่มีใครรับพวกเขาให้เข้าไปค้างแรมในบ้าน

16 ดูเถิด มีชายชราคนหนึ่งกำลังกลับจากงานที่ไร่ในเวลาเย็น ชายคนนี้มาจากแถบภูเขาของเอฟราอิม ขณะนั้นเขาพักแรมอยู่ที่กิเบอาห์ซึ่งเป็นที่ที่ชาวเบนยามินอาศัยอยู่ 17 เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นผู้เดินทางที่อยู่ที่ลานเมือง ชายชราจึงพูดขึ้นว่า “ท่านกำลังจะไปไหน และท่านมาจากไหน” 18 เขาตอบว่า “พวกเรากำลังเดินทางผ่านมาจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ เรากำลังจะไปยังที่ที่ห่างจากชุมชนในแถบภูเขาของเอฟราอิม ซึ่งเป็นที่ที่เราจากมา เราไปเบธเลเฮมในยูดาห์มา และกำลังจะไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่มีใครรับเราเข้าบ้าน 19 เรามีฟางและอาหารสำหรับลาของเรา มีขนมปังและเหล้าองุ่นสำหรับเราเองและคนรับใช้หญิงของท่าน และสำหรับชายหนุ่มกับคนรับใช้อื่นๆ ของท่าน ไม่ขาดสิ่งใดเลย” 20 ชายชราพูดว่า “สันติสุขจงอยู่กับท่าน เราจะดูแลทุกสิ่งที่ท่านต้องการ ขอเพียงอย่าค้างแรมที่ลานเลย” 21 ดังนั้นเขาจึงพาเขาเข้าไปในบ้าน และให้อาหารลา เมื่อล้างเท้าเรียบร้อยแล้วก็ดื่มกินกัน

22 ขณะที่พวกเขากำลังสำราญใจอยู่ ดูเถิด พวกชายชั่วร้ายในเมืองบางคนมาล้อมบ้าน ทุบประตู และพูดกับชายชราผู้เป็นเจ้าบ้านว่า “พาชายที่เข้ามาในบ้านท่านออกมาเถิด พวกเราจะได้สมสู่กับเขา” 23 ชายเจ้าของบ้านจึงออกไปพูดกับพวกเขาว่า “พี่น้องของเราเอ๋ย อย่านะ อย่ากระทำความชั่วอย่างนั้น เพราะชายผู้นี้เข้ามาอยู่ในบ้านของเรา อย่ากระทำสิ่งที่น่าอับอายเช่นนี้ 24 ดูเถิด ลูกสาวพรหมจารีของเราคนหนึ่งกับภรรยาน้อยของชายคนนั้น ให้เราพาพวกนางออกมาเดี๋ยวนี้เลย ท่านจะทำอะไรต่อพวกเขาก็ได้ตามความพอใจของท่าน แต่อย่ากระทำสิ่งที่น่าอับอายเช่นนี้ต่อชายผู้นี้เลย” 25 แต่ชายเหล่านั้นไม่ยอมฟังชายชรา ชายคนนั้นจึงบังคับภรรยาน้อยของเขาออกไปหาพวกเขา พวกเขาสมสู่กับนางและทำร้ายนางตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า เมื่อฟ้าเริ่มสาง พวกเขาจึงปล่อยนางไป 26 เมื่อถึงเช้า นางก็ไปหาเจ้านายที่บ้านของชายคนนั้น และล้มตัวลงที่ประตูอยู่ที่นั่นจนกระทั่งสว่าง

27 รุ่งเช้านายของนางลุกขึ้น เมื่อเขาเปิดประตูบ้าน เพื่อจะไปตามทางของเขา ดูเถิด ภรรยาน้อยของเขากำลังนอนอยู่ที่ประตูบ้าน มือเกาะธรณีประตูไว้ 28 เขาพูดกับนางว่า “ลุกขึ้น เราไปกันเถิด” แต่ไม่มีคำตอบ เขาจึงเอานางขึ้นหลังลา และชายคนนั้นเริ่มเดินทางกลับไปบ้านของตน 29 เมื่อเขาเข้าบ้าน เขาคว้ามีดและจับตัวภรรยาน้อยของตน ตัดเธอออกเป็นท่อนๆ ได้ 12 ท่อน และส่งไปทั่วดินแดนของอิสราเอล 30 ทุกคนที่เห็นก็พูดว่า “การกระทำอย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หรือไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่วันที่ชาวอิสราเอลออกจากดินแดนของอียิปต์ จนถึงวันนี้ จงพิจารณาดูเถิด ปรึกษากัน และบอกมาว่าจะทำอย่างไร”

สงครามของอิสราเอลกับเผ่าเบนยามิน

20 ครั้นแล้วชาวอิสราเอลทั้งปวงจากดานถึงเบเออร์เช-บา รวมถึงดินแดนกิเลอาดก็ออกมา และร่วมใจกันชุมนุม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่เมืองมิสปาห์ บรรดาหัวหน้าประชาชนทั้งปวง คือของเผ่าทั้งปวงของอิสราเอลก็ปรากฏตัวในที่ประชุมของชนชาติของพระเจ้า มีพลดาบจำนวน 400,000 คน (ชาวเบนยามินได้ยินว่าชาวอิสราเอลได้ขึ้นไปยังมิสปาห์แล้ว) และชาวอิสราเอลพูดว่า “บอกพวกเราเถิดว่า เรื่องชั่วร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร” ชาวเลวีผู้เป็นสามีของหญิงที่ถูกฆ่าตอบว่า “ข้าพเจ้ากับภรรยาน้อยมาที่เมืองกิเบอาห์ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของเบนยามิน เพื่อจะค้างแรม และบรรดาผู้นำของเมืองกิเบอาห์ก็ไล่ตามข้าพเจ้า และล้อมรอบบ้านหวังจะฆ่าข้าพเจ้าในยามค่ำ พวกเขาข่มขืนภรรยาน้อยของข้าพเจ้าจนตาย ข้าพเจ้าจึงเอาตัวนางมาตัดออกเป็นชิ้นๆ แล้วส่งไปให้ทั่วดินแดนของอิสราเอล เพราะว่าพวกเขากระทำสิ่งที่มักมากในกามและน่าอับอายในอิสราเอล ดูเถิด พวกท่านชาวอิสราเอลทุกท่าน จงให้คำแนะนำและคำปรึกษาเถิด”

ครั้นแล้วประชาชนทั้งปวงก็ลุกขึ้นพร้อมกันและกล่าวว่า “พวกเราจะไม่ไปที่กระโจมของเรา จะไม่มีใครกลับไปยังบ้านของตน แต่สิ่งที่เราจะกระทำต่อกิเบอาห์เวลานี้คือ พวกเราจะใช้วิธีจับฉลากเพื่อดูว่า ใครจะขึ้นไปสู้รบกับพวกเขา 10 เราจะให้ชาย 10 คนจากจำนวนร้อยคนของทุกๆ เผ่าของอิสราเอล และ 100 คนจากจำนวน 1,000 คน และ 1,000 คนจากจำนวน 10,000 คน เพื่อเตรียมเสบียงอาหารให้พวกทหาร เมื่อทหารมาถึง เขาจะได้ตอบโต้กิเบอาห์ในอาณาเขตเบนยามิน ในความทารุณทุกประการที่พวกเขาได้กระทำในอิสราเอล” 11 ดังนั้นชายทั้งปวงของอิสราเอลจึงได้ร่วมใจกันต่อสู้เมืองนั้น

12 เผ่าต่างๆ ของอิสราเอลได้ส่งพวกผู้ชายไปทั่วเผ่าเบนยามิน และบอกว่า “เรื่องชั่วๆ อะไรเช่นนี้เกิดขึ้นในหมู่ท่าน 13 บัดนี้จงมอบตัวเหล่าชายชั่วในกิเบอาห์ให้แก่พวกเรา เราจะได้ฆ่าเขา และกำจัดคนชั่วร้ายออกไปจากอิสราเอล” แต่ชาวเบนยามินไม่ฟังเสียงพี่น้องชาวอิสราเอล 14 แล้วชาวเบนยามินก็พากันออกมาจากเมืองของตน ไปยังกิเบอาห์เพื่อต่อสู้กับชาวอิสราเอล 15 ชาวเบนยามินต่างก็ออกไปจากเมืองของตนในวันนั้น มีพลดาบ 26,000 คน นอกจากชายชาวกิเบอาห์ที่เลือกสรรไว้แล้ว 700 คน 16 ในจำนวนทหารทั้งหมดมี 700 คนที่ถนัดมือซ้าย แต่ละคนมีความสามารถขนาดใช้สลิงเหวี่ยงก้อนหินถูกเส้นผมไม่พลาด 17 ฝ่ายชายชาวอิสราเอลก็ได้เลือกสรรพลดาบ 400,000 คน ทั้งนี้ไม่รวมชาวเบนยามิน และล้วนแต่เป็นชายนักรบทั้งสิ้น

18 ชาวอิสราเอลก็ขึ้นไปยังเบธเอล และถามพระเจ้าว่า “ใครควรจะขึ้นไปต่อสู้กับชาวเบนยามินให้พวกเราก่อน” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ให้ยูดาห์ขึ้นไปก่อน”

19 ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงลุกขึ้นแต่เช้า และไปตั้งค่ายใกล้เมืองกิเบอาห์ 20 ชายชาวอิสราเอลขึ้นไปต่อสู้กับชาวเบนยามิน และเตรียมพลพร้อมรบกับพวกเขาที่เมืองกิเบอาห์ 21 ชาวเบนยามินออกมาจากกิเบอาห์ ฆ่าฟันชายชาวอิสราเอลจนล้มตายไป 22,000 คนในวันนั้น 22 แต่ชายชาวอิสราเอลทำใจกล้าหาญ และเตรียมพลพร้อมรบอยู่ที่เดิมอีก ที่เดียวกับที่พวกเขารบในวันแรก 23 และชาวอิสราเอลขึ้นไปร้องไห้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าจนถึงเย็น และถามพระผู้เป็นเจ้าว่า “พวกเราควรเข้าไปปะทะกับชาวเบนยามิน พี่น้องของพวกเราหรือ” และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ขึ้นไปสู้รบกับพวกเขาเถิด”

24 ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงเข้าประชิดตัวชาวเบนยามินในวันที่สอง 25 ชาวเบนยามินก็ออกไปจากกิเบอาห์ต่อสู้กับชาวอิสราเอลในวันที่สอง ฆ่าฟันชายอิสราเอล 18,000 คนซึ่งเป็นพลดาบทั้งสิ้น 26 ชาวอิสราเอลทุกคนในกองทัพจึงขึ้นไปยังเมืองเบธเอลและร้องไห้ พวกเขานั่งอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และอดอาหารจนถึงเย็นวันนั้น และมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย และของถวายเพื่อสามัคคีธรรม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 27 แล้วชาวอิสราเอลถามพระผู้เป็นเจ้า (เนื่องจากหีบพันธสัญญาของพระเจ้าอยู่ที่นั่นในสมัยนั้น 28 และฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ผู้เป็นบุตรอาโรน รับใช้อยู่หน้าหีบในสมัยนั้น) ว่า “พวกเราควรไปสู้รบกับชาวเบนยามินพี่น้องของพวกเราอีกครั้งหนึ่ง หรือว่าเราควรจะหยุดไป” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ขึ้นไปอีก เพราะว่าพรุ่งนี้เราจะมอบพวกเขาไว้ในมือของเจ้า”

29 ดังนั้น อิสราเอลจึงให้คนดักซุ่มอยู่รอบกิเบอาห์เพื่อโจมตี 30 และชาวอิสราเอลก็ขึ้นไปสู้รบกับชาวเบนยามินในวันที่สาม พวกเขาเตรียมกำลังให้พร้อมเพื่อต่อสู้เมืองกิเบอาห์ เหมือนครั้งก่อน 31 ชาวเบนยามินจึงออกไปสู้รบกับชาวอิสราเอล และต้องถอยออกไปไกลจากเมือง แต่ก็เหมือนกับคราวก่อนๆ คือเขาเริ่มโจมตีและฆ่าชาวอิสราเอล 30 คนที่ถนนสายใหญ่และตามทุ่งโล่ง ถนนสายหนึ่งไปทางเบธเอล และอีกสายหนึ่งไปทางกิเบอาห์ 32 ชาวเบนยามินพูดว่า “พวกเรากำลังตีพวกเขาให้พ่ายไปเหมือนกับคราวก่อน” แต่ชาวอิสราเอลพูดว่า “พวกเรารีบถอยไป และทำให้พวกเขาขยับรุกมาไกลจากเมือง แล้วให้เข้าสู่ถนนสายใหญ่” 33 และชายชาวอิสราเอลทุกคนจึงขยับตัวออกไปจากที่ของตน ไปเตรียมกำลังให้พร้อมที่บาอัลทามาร์ และชาวอิสราเอลที่ดักซุ่มอยู่ก็รีบออกมาจากที่ของตนที่มาอาเรเก-บา 34 ครั้นแล้วชายอิสราเอลที่เลือกสรรไว้ทั้งหมด 10,000 คนก็มาโจมตีกิเบอาห์ การต่อสู้ครั้งนี้ทรหด ชาวเบนยามินไม่ทราบว่าความวิบัติอยู่ใกล้ตัวพวกเขา 35 พระผู้เป็นเจ้าทำให้ชาวเบนยามินพ่ายแพ้ต่อหน้าชาวอิสราเอล และชาวอิสราเอลฆ่าชายชาวเบนยามิน 25,100 คนในวันนั้น ชายเหล่านั้นเป็นพลดาบทั้งสิ้น 36 ดังนั้นชาวเบนยามินเห็นแล้วว่าพวกเขาพ่ายแพ้

ชายชาวอิสราเอลถอยทัพให้เบนยามิน เพราะไว้ใจในกองซุ่มเตรียมรบกับกิเบอาห์ 37 แล้วกองซุ่มจึงรีบออกมาโจมตีกิเบอาห์ เหล่ากองซุ่มได้ออกมาต่อสู้และฆ่าคนทั้งเมือง 38 ชายชาวอิสราเอลตกลงกับกองซุ่มว่าจะส่งสัญญาณให้ควันกลุ่มใหญ่พลุ่งขึ้นจากตัวเมือง 39 แล้วชายชาวอิสราเอลก็จะต่อสู้ ขณะนั้นชาวเบนยามินโจมตีและฆ่าชายชาวอิสราเอลได้ 30 คน และพูดกันว่า “พวกเขากำลังพ่ายแพ้พวกเราอีกแล้ว เหมือนกับสงครามครั้งก่อน” 40 แต่เมื่อสัญญาณเป็นกลุ่มควันดั่งเสาหลักเริ่มพลุ่งออกจากตัวเมือง ชาวเบนยามินหันกลับไปดู เห็นว่าควันจากทั่วทั้งเมืองพลุ่งขึ้นสู่ฟ้า 41 ชายชาวอิสราเอลจึงหันไปต่อสู้ ชาวเบนยามินตกใจ เพราะทราบว่าพวกตนถึงความวิบัติแล้ว 42 ดังนั้นพวกเขาจึงหันหลังหนีไปต่อหน้าชาวอิสราเอลไปทางถิ่นทุรกันดาร แต่ก็ไม่สามารถหนีสงครามไปได้ และชายชาวอิสราเอลที่ออกมาจากเมืองต่างๆ ก็ฆ่าฟันชาวเบนยามินที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาจนล้มตาย 43 เขาล้อมชาวเบนยามิน ไล่ล่าอย่างไม่หยุดยั้ง และเหยียบย่ำพวกเขาลงที่ตรงข้ามเมืองกิเบอาห์ทางตะวันออก 44 ชายชาวเบนยามินจำนวน 18,000 คนที่ล้มตายล้วนเป็นชายผู้กล้าหาญทั้งสิ้น 45 พวกเขาหันหลังหนีกลับไปยังถิ่นทุรกันดาร ไปยังศิลาริมโมน ชาย 5,000 คนถูกฆ่าตามถนนสายใหญ่ และถูกไล่ล่าอย่างไม่ลดละไปจนถึงกิโดม ชายอีก 2,000 คนถูกฆ่าตาย 46 ดังนั้นรวมชาวเบนยามินที่เป็นพลดาบล้มตายในวันนั้นมีจำนวน 25,000 คน ล้วนเป็นชายผู้กล้าหาญทั้งสิ้น 47 มีชาย 600 คนที่หนีไปทางถิ่นทุรกันดารยังศิลาริมโมน และอยู่ที่นั่นนานถึง 4 เดือน 48 ชายชาวอิสราเอลกลับไปยังทุกๆ เมือง และฆ่าฟันชาวเบนยามินตาย รวมถึงสัตว์เลี้ยงและทุกสิ่งที่พบ และเผาเมืองทุกเมืองที่ผ่านไป

ภรรยาสำหรับเผ่าเบนยามิน

21 ชายชาวอิสราเอลได้สาบานที่มิสปาห์ว่า “จะไม่มีใครในหมู่พวกเรา ที่จะให้บุตรสาวไปแต่งงานกับชาวเบนยามิน” ประชาชนไปยังเบธเอล และนั่งอยู่ที่นั่น ณ เบื้องหน้าพระเจ้าจนถึงเย็น และส่งเสียงร้องไห้ด้วยความเศร้าใจ และพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล เหตุใดสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นในอิสราเอล ทำไมวันนี้อิสราเอลจึงขาดไป 1 เผ่า” ในวันรุ่งขึ้น ประชาชนลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ สร้างแท่นบูชาและมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับของถวายเพื่อสามัคคีธรรมที่นั่น ประชาชนชาวอิสราเอลพูดว่า “มีเผ่าใดของอิสราเอลบ้างที่ไม่ได้ขึ้นมาประชุม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์” ด้วยว่า พวกเขาได้สาบานอย่างจริงจังว่า ใครที่ไม่มาประชุม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์ ผู้นั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน ประชาชนชาวอิสราเอลสงสารเบนยามินน้องชายของตน และพูดว่า “เผ่าหนึ่งที่ถูกตัดขาดจากอิสราเอลในวันนี้ เราจะทำอย่างไรในเรื่องภรรยาให้กับพวกผู้ชายที่ยังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อเราได้สาบานในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าแล้วว่า เราจะไม่ยกบุตรสาวของเราให้แก่พวกเขาเป็นภรรยา”

พวกเขาถามขึ้นว่า “มีเผ่าใดของอิสราเอลที่ไม่ได้ขึ้นมาประชุม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์” ดูเถิด ไม่มีผู้ใดจากยาเบชกิเลอาดที่ขึ้นมาประชุมที่ค่าย ดูเถิด เพราะเมื่อนับจำนวนคนแล้ว ไม่มีพลเมืองของยาเบชกิเลอาดสักคนเดียวที่นั่น 10 ดังนั้น มวลชนจึงให้ชายฉกรรจ์ 12,000 คนไปที่นั่น พร้อมกับสั่งว่า “จงไปฆ่าพลเมืองของยาเบชกิเลอาดด้วยคมดาบ ทั้งพวกผู้หญิงและเด็กเล็กด้วย 11 สิ่งที่ต้องทำคือ ฆ่าชายและหญิงทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย” 12 พวกเขาพบว่าในบรรดาพลเมืองของยาเบชกิเลอาด มีพรหมจาริณีสาว 400 คนที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชายใด และพาพวกนางไปยังค่ายที่ชิโลห์ซึ่งอยู่ในดินแดนของคานาอัน

13 จากนั้น ที่ประชุมทั้งหมดก็ให้คนไปบอกชาวเบนยามินที่อยู่ที่ศิลาริมโมน และประกาศสันติกับพวกเขา 14 ชาวเบนยามินจึงกลับมาในคราวนั้น และได้ผู้หญิงชาวยาเบชกิเลอาดที่ชาวอิสราเอลไว้ชีวิต แต่ว่ามีจำนวนไม่พอเพียงสำหรับพวกเขา 15 และประชาชนก็สงสารเบนยามิน เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าแยกพวกเขาออกจากเผ่าอื่นๆ ของอิสราเอล

16 บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของที่ประชุมพูดว่า “พวกเราจะทำอย่างไรในเรื่องภรรยาให้กับพวกผู้ชายที่ยังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อพวกผู้หญิงชาวเบนยามินถูกฆ่าแล้ว” 17 พวกเขาพูดว่า “ชาวเบนยามินที่ยังมีชีวิตอยู่คงต้องมีผู้สืบเชื้อสายอยู่บ้าง เพื่อว่าเผ่าหนึ่งจะไม่ถูกลบล้างไปจากอิสราเอล 18 แต่เราก็ยังให้บุตรสาวของพวกเราไปเป็นภรรยาพวกเขาไม่ได้” เพราะชาวอิสราเอลได้สาบานแล้วว่า “ใครที่ยกผู้หญิงให้แก่เบนยามินเป็นภรรยาจะถูกแช่งสาป” 19 พวกเขาจึงพูดว่า “ดูเถิด มีเทศกาลประจำปีของพระผู้เป็นเจ้าที่ชิโลห์ ทางทิศเหนือของเบธเอล ทางทิศตะวันออกของถนนสายใหญ่ที่ขึ้นไปจากเบธเอลถึงเชเคม และอยู่ใต้เลโบนาห์” 20 พวกเขาจึงสั่งชาวเบนยามินว่า “จงไปดักเป็นกองดักซุ่มอยู่ที่สวนองุ่น 21 และเฝ้าดู ถ้าบรรดาบุตรสาวของชาวชิโลห์ออกมาร่ายรำ ก็จงรีบออกมาจากสวนองุ่น และฉุดผู้หญิงชาวชิโลห์ไว้เป็นภรรยาของตน และกลับไปยังดินแดนของเบนยามิน 22 เมื่อพวกบิดาหรือพี่ชายของผู้หญิงเขามาบ่นกับพวกเรา เราจะบอกพวกเขาว่า ‘ขอให้ท่านมีใจกรุณาต่อพวกเราด้วยการช่วยเหลือพวกเขา เพราะว่าเราไม่ได้หาภรรยาให้พวกเขาในระหว่างสงคราม ในกรณีนี้ท่านก็ไม่ได้หาภรรยาให้พวกเขาเช่นกัน ฉะนั้นท่านไม่มีความผิดใดๆ’” 23 ชาวเบนยามินจึงกระทำตามนั้น และได้ภรรยาไปตามจำนวนของพวกเขา เป็นหญิงที่ออกมาร่ายรำและถูกฉุดตัวไป เขาเหล่านั้นกลับไปยังดินแดนที่ได้รับเป็นมรดก และอาศัยอยู่ในเมืองที่ตนสร้างขึ้นใหม่ 24 คราวนั้นชาวอิสราเอลก็ออกไปจากที่นั่น กลับไปยังเผ่าและครอบครัวของตน แต่ละคนไปยังดินแดนที่ตนได้รับเป็นมรดก

25 ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ทุกคนทำอย่างที่เห็นว่าถูกต้องในสายตาของตนเอง